Skip to main content
sharethis

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา 'คดีไร่ส้ม' พิพากษาจำคุกสรยุทธ สุทัศนะจินดา 6 ปี 24 เดือน ไม่รอลงอาญา เจ้าตัวเผยผ่านเพจ ยอมรับแม้ อสมท โฆษณาเกินเยอะกว่าและจ่ายค่าโฆษณาที่เกินไปแล้ว 

21 ม.ค. 2563 ที่ศาลคดีอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพิชชาภา หรือชนาภา บุญโต อดีตพนักงานจัดคิวโฆษณาของ บมจ.อสมท บจก. ไร่ส้ม สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมการผู้จัดการ บจก. ไร่ส้ม อดีตพิธีกรรายข่าวเล่าข่าว และมณฑา พนักงาน บจก. ไร่ส้ม เป็นจำเลย คดีหมายเลขดำ อ.313/2558 เมื่อ 30 ม.ค. 2558

เบื้องต้น ศาลฎีกาพิพากษาสั่งจำคุกสรยุทธ เป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน ไม่รอลงอาญา

การฟ้องดังกล่าวระบุว่าจำเลย 1-4 มีความผิดฐานเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์กร เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ม.6 8 และ 11 กรณีการยักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 อสมท กว่า 138 ล้านบาท

‘สรยุทธ’ เข้าเรือนจำ หลังฎีกาไม่ให้ประกัน คดีไร่ส้ม โทษ คุก 13 ปี 4 เดือน

เดิม ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ว่า พิชชาภา อดีต พนักงานบริษัท อสมท มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของรัฐ จำคุก 20 ปี ส่วน สรยุทธ และมณฑา พนักงานบริษัทไร่ส้ม มีความผิดฐานสนับสนุน จำคุก 13 ปี 4 เดือน และปรับบริษัท ไร่ส้ม รวม 80,000 บาท

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ

สรยุทธเผยผ่านเพจ ยอมรับแม้ อสมท โฆษณาเกินเยอะกว่า-จ่ายค่าชดเชยไปแล้ว

วันเดียวกันนี้ ในเวลา 13.07 น. เพจสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ระบุว่ายอมรับคำตัดสินและเตรียมใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้ว มีใจความดังนี้

ความในใจจากพี่ยุทธ ก่อนฟังคำพิพากษา

โพสต์โดยแอดมิน
###############

ไม่ว่าผลคำพิพากษาวันนี้จะออกมาอย่างไร ผมยอมรับ เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตผมจากนี้ไปเอาไว้แล้ว

2 ศาลพิพากษาว่าผมผิด พิพากษาจำคุกผม 13 ปี 4 เดือน ผมรู้ว่ามันคงยากที่จะหวังให้ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ผมได้รับอิสรภาพ

ผมได้ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมมาอย่างครบถ้วนแล้ว ผลออกมาอย่างไร ผมก็ต้องยอมรับ

ผมได้พยายามแสดงให้เห็นว่า ไร่ส้มโฆษณาเกิน ในขณะที่ อสมท.โฆษณาเกินมากยิ่งกว่า โดยไร่ส้มไม่เคยไปเบียดบังเวลาโฆษณาของ อสมท. แต่เมื่อเห็นว่าสถานีเป็นเจ้าของเวลา จะทำอะไรก็ได้ ผมก็ยอมรับ

กระบวนการโฆษณา ไม่เคยมีการปกปิด และถึงจะต้องการปกปิด ก็ปกปิดไม่ได้โดยเจ้าหน้าที่ธุรการเพียงคนเดียว โดยมีกระบวนการที่เปิดเผยเกิดขึ้นต่อเนื่องเรื่อยมาเกินกว่า 500 ครั้ง เจ้าหน้าที่คนนี้ได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาแล้วผ่านใบคิวโฆษณาทุกวัน แต่เมื่อเห็นว่าโฆษณาเกินปกปิดได้ ผมก็ต้องยอมรับ

การจ่ายเช็คทั้ง 6 ฉบับ มีที่มาที่ไปว่าเป็นการจ่ายค่าจ้างเพื่อให้ทำงานเกี่ยวกับการขายโฆษณา มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายอย่างครบถ้วน ยอดเงินเป็นเศษสตางค์ และตัวเลขไม่ได้มีความสัมพันธ์กับโฆษณาเกินเลย แต่เมื่อเชื่อว่าเป็นการจ่ายสินบน ผมก็ต้องยอมรับ

เงินค่าโฆษณาเกิน 138 ล้าน ผมได้ชำระให้ อสมท.ไปครบถ้วนแล้วตั้งแต่ยังไม่เกิดคดีความ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า ผมไม่ทำให้ อสมท.เสียหาย แต่เมื่อมันชดใช้สิ่งที่เห็นว่าผิดไปแล้วไม่ได้ ผมก็ยอมรับ

ผมยอมรับคำพิพากษา โดยไม่เคยคิดว่าจะหลบหนี เพราะนั่นจะเท่ากับผมไม่เคารพกระบวนการของกฎหมายบ้านเมืองที่ผมเกิดและเติบโตมา

แน่นอนว่าผมย่อมกลัวการติดคุกติดตาราง แต่ชีวิตผมไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่ได้สุขสบาย ไม่เคยลำบากตรากตรำ จนจะไปใช้ชีวิตในเรือนจำไม่ได้ หรืออยู่ลำบากไม่ได้

บางทีระหว่างที่ผมใช้ชีวิตทำงานมาร่วม 30 ปี ถ้าพูดถึงความยากลำบากทางกาย อาจจะลำบากกว่าการใช้ชีวิตในเรือนจำ แต่สำคัญที่ร่วม 30 ปีนั้นผมมีอิสรภาพ

ร่วม 30 ปี ผมไม่เคยได้นอนหลับเต็มอิ่ม ทำงานที่ผมรักตลอดทั้งวัน ไม่มีวันหยุด เพียงแต่ทุกวันที่ตื่นไปทำงาน ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมไปทำงาน ผมแค่ตื่นออกไปใช้ชีวิตของผม แม้จะยากลำบากทางกาย แต่ผมก็สุขใจในแบบของผมเสมอมา

กุมภาพันธ์ ปี 2559 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาผม และผมต้องหยุดทำงานที่ผมเคยทำมาทุกวัน ทั้งที่ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด ใครไม่เป็นผมคงไม่รู้ว่ามันทุกข์ทรมานขนาดไหนกับการต้องตื่นขึ้นมาทุกวันแล้วไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตของผมอย่างที่เคย

ช่วงนั้น ผมไม่กล้าแม้กระทั่งเปิดโทรทัศน์ อย่าว่าแต่รายการที่ตัวเองเคยทำ เพราะถ้าต้องเห็นสิ่งที่ผมรักและเคยทำมาตลอด มันจะหยุดน้ำตาของตัวเองไม่ได้ ผมทำได้อย่างเดียวคือ พยายามลืมชีวิตที่เคยเป็นมา

สำหรับผม การต้องหยุดทำงาน เหตุเพราะคำพิพากษาของสังคม คือความทุกข์ทรมานที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต เพราะคือการห้ามผมใช้ชีวิต ไม่ใช่แค่การห้ามผมทำอาชีพของผม อิสรภาพในการใช้ชีวิตของผมหมดไปตั้งแต่เมื่อ 4 ปีก่อนแล้ว

ผมติดคุกสังคมมา 4 ปีแล้ว ตลอด 4 ปีของการต่อสู้คดีก็ไม่เคยมีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว ความรู้สึกเสมือนยิ่งสู้ยิ่งแพ้ แต่ก็ต้องสู้

วันนี้ผมคงติดคุกตามคำพิพากษาของศาลสูงสุด ความยากลำบากเดียวคือ ทำใจ ซึ่งผมยังไม่รู้ว่าจะทำได้ขนาดไหน จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ที่จะทำความคุ้นเคยกับมัน แต่ที่สุดผมก็ต้องยอมรับให้ได้

ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อย่างน้อยวันนี้ชีวิตผมก็จะได้เริ่มต้นใหม่เสียที แม้จะต้องเริ่มต้นจากติดลบ อยู่ในคุกตะราง จุดต่ำสุดของชีวิต แต่ก็ได้เริ่มต้น ซึ่งมันจะมีวันหนึ่งในที่สุดที่จะได้นับหนึ่งใหม่

ขอบคุณทุกคนที่เจอกันก็เข้ามาจับมือให้กำลังใจ ไม่ได้เจอกันก็ส่งกำลังใจมาให้

จนกว่าจะมีโอกาสพบกันใหม่ครับ

สรยุทธ สุทัศนะจินดา
21 มกราคม 2563

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net