อัยการแจงไม่สั่งฟ้อง 'ชัยวัฒน์-พวก' คดีฆาตกรรมบิลลี่ เหตุหลักฐานไม่พอ 'มึนอ' เล็งหาหลักฐานยื่นฟ้องเอง

อัยการสูงสุดแถลงกรณีไม่สั่งฟ้อง 'ชัยวัฒน์-พวก' คดีฆาตกรรมบิลลี่ ระบุในชั้นนี้ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสั่งฟ้อง ย้ำกระดูกที่พบบ่งชี้สัมพันธ์แม่ลูก แต่ไม่ชี้ชัดอัตลักษณ์บุคคล ด้าน 'มึนอ' ภรรยาบิลลี่ เล็งหาหลักฐานยื่นฟ้องเอง

ภาพคล้ายถังแดงที่ใส่บิลลี่นอนใต้สะพานแขวน แก่งกระจาน

27 ม.ค.2563 ความคืบหน้า คดีฆาตกรรม พอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี หลังจากที่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เนื่องจากมีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครองเป็นจำนวน 6 ขวด เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 และหลังจากวันนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นบิลลี่อีกเลยเป็นเวลากว่า 5 ปี จนกระทั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงพบชิ้นส่วนที่สามารถสันนิษฐานได้ว่าบิลลี่เสียชีวิตลงแล้ว โดยการฆาตกรรม แต่ต่อมาพนักงานอัยการมีหนังสือถึง ดีเอสไอ เรื่องการสั่งไม่ฟ้อง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 คน นั้น

ล่าสุดวันนี้ (27 ม.ค.63) ประยุทธ เพชรคุณ อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 3 ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวชี้แจงกรณีอัยการไม่สั่งฟ้องชัยวัฒน์ พร้อมพวก ร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวทำร้าย และร่วมกันฆ่าอำพรางศพ บิลลี่ ว่า คณะทำงานฯ เห็นว่าทางคดีไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใดๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำผิด พยานหลักฐานไม่พอฟ้องจึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งข้อหาร่วมกันฆ่านั้น คณะทำงานตรวจสำนวนโดยละเอียดแล้วเห็นว่า ในชั้นนี้พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่เช่นกัน โดยคณะทำงานเห็นว่าบิลลี่ในชั้นแรก ถูกกลุ่มผู้ต้องหาทั้งสี่ควบคุมตัวไปพร้อมน้ำผึ้งและรถจักรยานยนต์ แต่ต่อมามีพยานบุคคลยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ปล่อยตัวบิลลี่แล้ว โดยทางคดีได้ความอีกว่าภรรยาและมารดาของบิลลี่ได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรีขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ต้องหาทั้งสี่ปล่อยตัวบิลลี่เพราะเป็นการควบคุมตัวโดยไม่ชอบตามกฎหมาย กระทั่งศาลจังหวัดเพชรบุรี พิจารณาพยานหลักฐานทุกฝ่ายแล้วได้มีคำสั่งยกคำร้อง เพราะมีพยานเบิกความต่อศาลว่าบิลลี่ได้รับการปล่อยตัวแล้ว ซึ่งภรรยาได้ยื่นอุทธรณ์และฎีกา

ขณะนี้สำนักงานคดีพิเศษได้ส่งสำนวนพร้อมคำสั่งไปยังอธิบดีดีเอสไอ เพื่อพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป หากมีความคืบหน้าคดีเป็นประการใด งานโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดจะแถลงให้ทราบต่อไป

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สำนักงานอัยการสูงสุด ขอแจ้งผลคืบหน้าการพิจารณาสำนวนคดีนี้ดังนี้

1. เมื่อสำนักงานคดีพิเศษได้รับสำนวนดังกล่าวแล้ว ฐาปนา ใจกลม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้จ่ายสำนวนให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 พิจารณา และต่อมา ชวรัตน์ วงศ์ธนบูลย์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีสำคัญที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจติดตามคดีมาอย่างต่อเนื่อง จึงมีคำสั่งที่ 26/2562 ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาสำนวนตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 ข้อ 53 ซึ่งคณะทำงานประกอบด้วย ปกาศิต เหลืองทอง อัยการผู้เชี่ยวชาญ เป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดยมีพ.ต.ท.เดชาชัย ณ ลำปาง อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด วรพงษ์ ทองแก้ว อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด และเชาวพันธ์ ช่วยชู อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นคณะทำงาน

2.คณะทำงานร่วมกันตรวจพิจารณาสำนวนแล้ว เห็นว่า สำหรับข้อหาที่ 8 (เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) คณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานพอฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 จึงเห็นควรสั่งฟ้องชัยวัฒน์ บุญแทน และธนเสฏธ์ ในข้อหาร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตหรือและร่วมกันเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา 123/2 ,172 และเห็นควรสั่งฟ้อง กฤษณพงษ์ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้ต้องหาที่ 1 2 และ 3 ให้กระทำความผิดดังกล่าวข้างต้น

3.สำหรับข้อกล่าวหาตามข้อกล่าวหาที่ 2 3 4 5 6 และ 7 คณะทำงานเห็นว่าทางคดีไม่มีประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใด ๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ร่วมกันกระทำผิดในข้อหาทั้งหมดดังกล่าว จึงเห็นว่าทางคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่ทุกข้อกล่าวหา

4.สำหรับข้อหาร่วมกันฆ่า พอละจี ตามข้อกล่าวหาที่ 1 คณะทำงานตรวจสำนวนโดยละเอียดแล้วเห็นว่าในชั้นนี้พยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสี่เช่นกัน โดยคณะทำงานเห็นว่า 

พอละจี ในชั้นแรกถูกกลุ่มผู้ต้องหาทั้งสี่ควบคุมตัวไปพร้อมน้ำผึ้ง และรถจักรยานยนต์ แต่ต่อมามีพยานบุคคลยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ปล่อยตัวพอละจี หรือบิลลี่แล้ว โดยทางคดีได้ความอีกว่า ภรรยาและมารดาของพอละจีไปยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ต้องหาทั้งสี่ปล่อยตัวพอละจี เพราะเบ็นการควบคุมตัวโดยไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 เมื่อศาลจังหวัดเพชรบุรีพิจารณาพยานหลักฐานทุกฝ่ายแล้วได้มีคำสั่งยกคำร้อง เพราะมีพยานเบิกความต่อศาลว่านายพอละจีได้รับการปล่อยตัวแล้ว ซึ่งภรรยาของนายพอละจีได้ยื่นอุทธรณ์และฎีกาคัดค้านคำสั่งของศาลจังหวัดเพชรบุรี แต่ทั้งชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาพิพากษายืน อันเป็นการชี้ขาดข้อเท็จจริงว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่ได้ปล่อยตัวพอละจีไปแล้ว คดีเป็นที่สุด

และต่อมาพยานที่เคยเบิกความในคดีที่ศาลจังหวัดเพชรบุรีได้ให้การใหม่กับพนักงานสอบสวนของดีเอสไอตรงข้ามกับที่เคยเบิกความต่อศาล แต่พนักงานอัยการซึ่งเป็นคณะทำงานเห็นว่า คำเบิกความต่อศาลดังกล่าวเชื่อถือและมีน้ำหนักมากกว่า

การตรวจพิสูจน์กระดูกซึ่งเป็นวัตถุพยานของกลางโดยวิธีไมโครควอเตรียม เป็นเพียงการตรวจเพื่อทราบถึงสื่อสัมพันธ์สายมารดาเท่านั้น โดยการตรวจวิธีนี้ไม่เพียงพอยืนยันตัวบุคคลที่ชี้ชัดได้ว่ากระดูกของกลางที่พบเป็นของบุคคลใด

สำนวนคดีไม่มีข้อเท็จจริงหรือประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมใด ๆ เพียงพอที่จะเชื่อมโยงว่าผู้ต้องหาทั้งสี่เป็นผู้ร่วมกันฆ่านายพอละจี ที่ไหน เมื่อไหร่ และโดยวิธีใด ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นล้วนเป็นสาระสำคัญที่อัยการต้องกล่าวบรรยายไว้ในการฟ้อง รวมทั้งสำนวนการสอบสวนไม่มีพยานหลักฐานว่านายพอละจียังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่

 

โดยมี พิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมึนอ ภรรยาของบิลลี่ เดินทางมากับ น.ส.วราภรณ์ อุทัยรังษี ทนายความ เพื่่อร่วมฟังการแถลงข่าวด้วย และ ยื่นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือตัวเอง นำมายื่นให้กับ ประยุทธ์ เพื่อขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด เพราะเชื่อมั่นในกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ และเชื่อในเหตุผลของการหายตัวไปของสามีว่าต้องมีเงื่อนงำอื่นแอบแฝง 

มึนอ กล่าวว่า เข้าใจว่าอัยการยึดเอาเอาตามหลักฐานของการพิพพากษาชั้นต้นและยอมรับว่าเข้าใจยาก ถ้ายืนตามหลักฐานนั้น

ต่อกรณีคำถามที่ว่าติดใจสงสัยอะไรหรือไม่นั้น พิณนภา กล่าวว่า ยังติดใจสงสัยเรื่องการตรวจดีเอ็นเอ เพราะคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงจะไม่นำเอากระดูกไปลอยน้ำ เป็นความเชื่อ แต่ในครั้งนี้เมื่อตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์แล้ว เจอกระดูกแล้วพบว่ากระดูกตรงกับแม่ของบิลลี่

“ความรู้สึกมันเป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่ใช่บิลลี่ เพราะเราไม่เอากระดูกลอยน้ำ และคนไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงห้ามเอาไปลอย เป็นความเชื่อ จะเผาอย่างเดียว ในความรู้สึกส่วนตัวเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนอื่น” มึนอ กล่าว

เมื่อถามว่ามีพยานหรือคนอื่นที่เห็นบิลลี่ ตอนปล่อยตัวมีแต่คนพบบิลลี่ถูกควบคุมตัวที่ด่านมะเร็ว ด่านอุทยานฯ นอกจากนี้เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการจะมีการยื่นฟ้องด้วยตัวเองหรือไม่ พิณนภา กล่าวว่า คิดๆ อยู่ว่าถ้าไม่มีอะไรที่เป็นไปได้ ก็อาจจะฟ้องเอง และต้องไปคิดใหม่ หาพยานหลักฐานใหม่

ที่มา ไทยพีบีเอสและ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท