เปิดมุมการเมืองระหว่างประเทศของนักวิจัยสังคมศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ 'ซอมบี้' ผ่านบททดลองวิเคราะห์ปรากฏการณ์ 'ไวรัสโคโรนา' ที่ถอดออกมา 4 คำพยากรณ์ ตั้งแต่ ขยายอำนาจผ่านโรคระบาด มาตรการเด็ดขาด แต่ชนชั้นนำรอดก่อน จนถึงการปิดข่าวเอาใจนายจนยืดเยื้อ และ 'ข่าวปลอม' ที่น่ากลัวไม่ต่างจากโรคระบาด
ใส่หน้ากากตอนนี้รับโชค 2 ต่อ เพราะนอกจากจะใช้กันฝุ่น PM2.5 ใน กทม. และเมืองใหญ่อื่น ๆ ในไทยแล้ว ยังเอาไว้ใช้กันเชื้อไวรัสโคโรนาด้วย สำหรับไวรัสโคโรนาหรือไวรัสอู่ฮั่น สื่อต่าง ๆ ได้นำเสนอเกี่ยวกับที่มาที่ไป สถานการณ์ล่าสุด และวิธีป้องกันตัวจากเชื้อไวรัสอันน่าสะพรึงนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม มุมที่ยังไม่แน่ใจว่ามีการเสนอหรือไม่คือเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างไวรัสโคโรนากับซอมบี้
ฟังแบบนี้แล้ว หลายคนอาจรู้สึกหวาดผวาหรือไม่ก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเฟคนิวส์ แต่จริง ๆ แล้วผู้เขียนไม่ได้ต้องการสื่อไปไกลถึงขนาดว่าไวรัสโคโรนาคือเชื้อที่เปลี่ยนคนเป็นซอมบี้ เพียงแค่อยากบอกว่าเมื่อไม่นานมานี้ มีนักวิจัยสังคมศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับซอมบี้อยู่ และความรู้จากงานวิจัยดังกล่าวอาจช่วยให้เราเข้าใจมาตรการรับมือไวรัสโคโรนาของรัฐบาลจีนในภาพรวมได้มากขึ้นว่ามีนัยยะทางการเมืองและข้อดีข้อเสียอย่างไร
ซอมบี้กลับมาอีกครั้งในช่วงโคโรนาระบาด
การเมืองโลกและรัฐบาลจีนจะเป็นอย่างไร ถ้าซอมบี้เกิดผุดขึ้นมาจากหลุมศพและตามไล่กัดคนที่สัญจรไปมา เป็นคำถามที่ Daniel Drezner นักวิชาการสัญชาติอเมริกัน พยายามตอบในหนังสือชื่อว่า Theories of International Politics and Zombies ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 2 หรือที่เขาเรียกว่าเป็น "ฉบับคืนชีพ" (เล่มนี้มีฉบับแปลไทยแล้ว ซึ่งผู้เขียนเองเป็นผู้แปล จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์คบไฟ)
ปกหนังสือฉบับแปลไทย
เหตุที่เขาสนใจมาศึกษาหัวข้อวิจัยเพี้ยน ๆ เช่นนี้ เป็นเพราะเขาเชื่อว่ารัฐบาลต่าง ๆ ในโลกกำลังหวาดกลัวภัยซอมบี้อยู่จริง ๆ ตัวอย่างเช่น การประกาศแผนซ้อมรบเพื่อรับมือกับซอมบี้ของกองทัพสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า CONPLAN88 การใช้ซอมบี้เป็นเครื่องมือการประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องการป้องกันโรคระบาดโดยกรมควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกา และการออกกฎหมายต่อต้านซอมบี้ของรัฐบาลเอธิโอเปีย
ไม่ว่ารัฐบาลต่าง ๆ ในโลกจะกลัวซอมบี้จริง ๆ หรือไม่ แต่ Daniel Drezner เชื่อเหมือนกับนักวิชาการหลาย ๆ คนว่าการเรียนการสอนเรื่องภัยคุมคามรูปแบบใหม่ เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ ผู้ก่อการร้าย และในกรณีนี้คือโรคระบาด จะได้อรรถรสและเป็นรูปธรรมขึ้นหลายเท่า ถ้าเอามานำเสนอผ่านสื่อวัฒนธรรมป๊อบต่าง ๆ และขณะเดียวกันการเข้าใจวัฒนธรรมป๊อบและบริบทของมันก็เป็นการเข้าใจความรู้สึกของคนในสังคมไปในตัวว่าขณะนั้นกำลังเผชิญกับอะไร ด้วยเหตุนี้ วัฒนธรรมป๊อบกับสังคมในโลกความจริงจึงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก
ที่จริงแล้ว คำถามว่าการเมืองโลกและรัฐบาลจีนจะเป็นอย่างไรถ้าเกิดเชื้อซอมบี้ระบาดขึ้น แทบไม่ได้ต่างอะไรเลยกับการถามว่าการเมืองโลกและรัฐบาลจีนจะเป็นอย่างไรถ้าไวรัสโคโรนาระบาด เพราะทั้งสองอย่างเป็นเรื่องโรคระบาดเหมือนกัน อาจจะต่างกันแค่ระดับความอันตรายของเชื้อโรคเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ เราจึงเริ่มเห็น “ซอมบี้” กลับมาอีกครั้งในการนำเสนอต่าง ๆ ถ้าดูจากการนำเสนอของสื่อก็จะเห็นได้ว่าแทบทุกสำนักพรรณนาในลักษณะเดียวกันหมดว่าเมืองอู่ฮั่นตอนนี้ไม่ต่างจาก 'เมืองซอมบี้' หรือ 'ซอมบี้แลนด์' นอกจากนี้ ยังมีการโพสต์มีมโดยเชื่อมโยงไวรัสโคโรนาเข้ากับซอมบี้ด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือซอมบี้จะกลับมาทุกครั้งที่สังคมมีความหวาดกลัว เราเคยเห็นปรากฏการณ์ที่ซอมบี้ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายแล้วเช่นกันในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008
มีมทฤษฎีสมคบคิด โคโรน่ามาจากเมืองแร็คคูนซิตี้ในเกม Resident Evil
ที่มา: สมาชิกในกลุ่มเฟสบุ๊คResident Evil Thailand
แน่นอนว่าซอมบี้เป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง แม้นักวิจัยหลายคนจะกังวลว่าซอมบี้อาจเกิดขึ้นจริงได้ในทางวิทยาศาสตร์ ต่างจากสปีชีส์อื่น ๆ ในวัฒนธรรมป๊อบที่มักอาศัยเวทมนตร์หรือสิ่งเหนือธรรมชาติเพื่อให้เกิดขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ด้วยความเป็นไปได้จริงที่ว่านี้ ซอมบี้จึงมีประโยชน์มากเมื่อนำมาใส่ในภาพจำลองสถานการณ์เพื่อดูว่าการใช้นโยบายต่าง ๆ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน การศึกษาเพื่อคาดการณ์เกี่ยวกับซอมบี้ ก็สามารถทำได้ด้วยการอาศัยข้อมูลของเรื่องใกล้เคียง ซึ่งก็ได้แก่ข้อมูลมาตรการของรัฐบาลต่าง ๆ ในการรับมือกับภัยธรรมชาติและโรคระบาดที่เกิดขึ้นในโลกจริง
สำหรับประเด็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศและซอมบี้ นักวิชาการที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเมืองโลกมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่างกันไปตามแต่สังกัดความเชื่อของตัวเอง และความหลากหลายนี้เองที่ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของมาตรการรับมือกับโรคระบาดของจีนที่มีความซับซ้อน และแนวโน้มสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในสังคมเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งหลายคนกำลังวิตกกังวลกันอยู่ในขณะนี้ แม้ Daniel Drezner จะเสนอคำพยากรณ์เอาไว้หลายอย่างถ้าเกิดเหตุซอมบี้บุก แต่ในบทความนี้ ผู้เขียนจะขอนำคำพยากรณ์ 3-4 ข้อที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนามาเล่าสู่กันฟัง
ที่มาภาพประกอบ: Wikipedia
คำพยากรณ์ 1: ขยายอำนาจผ่านโรคระบาด
ในแวดวงคนที่ศึกษาเกี่ยวกับการเมืองโลก จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่าสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก เพราะไม่มีใครควบคุมโลกทั้งใบได้ (นักวิชาการเรียกว่าสภาพอนาธิปไตยหรือ anarchy) ทุกประเทศต่างต้องเอาตัวรอดด้วยการใช้วิธีการทุกหนทาง แม้จะเป็นวิธีการที่โหดร้ายทารุณในสายตาคนทั่วไปก็ตาม คนกลุ่มนี้เชื่อว่าประเทศที่แข็งแกร่งจะอยู่รอด และประเทศที่อ่อนแอจะล่มสลาย คนกลุ่มนี้เชื่อว่านี่คือสภาพความเป็นจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเรียกทฤษฎีนี้ของตัวเองว่า "สัจจนิยม" หรือ "สภาพจริงนิยม (Realism)"
ถ้าเกิดซอมบี้ขึ้นจริง นักวิชาการกลุ่มนี้เชื่อว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเดิมจะไม่ได้หายไปไหน มีแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นเพราะแต่ละประเทศพยายามใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อรักษาอำนาจหรือไม่ก็ขยายอำนาจของตัวเอง เช่น ประกาศสงครามขยายอำนาจโดยใช้ซอมบี้เป็นข้ออ้าง ในเชิงยุทธศาสตร์ ประเทศที่มีลักษณะภูมิศาสตร์เป็นภูเขาสูง มีความหนาแน่นของประชากรน้อย และมีความสามารถในการป้องกันโรคระบาดได้ดี มีแนวโน้มที่จะรับมือกับซอมบี้ได้ดีกว่า ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักอาจเบี่ยงความสนใจเพื่อให้ประชาชนหันไปสนใจเรื่องอื่น แทนที่จะหันมาโจมตีความไร้น้ำยาในการจัดการปัญหาซอมบี้ของรัฐบาล ส่วนความร่วมมือที่ระหว่างประเทศในการปราบซอมบี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศตนเองไม่ต้องจ่ายอะไรในความร่วมมือ หรือไม่ก็จนตรอกแล้วจริง ๆ เท่านั้น
หากลองตั้งคำถามดูว่าการประเมินสภาพการณ์เกี่ยวกับซอมบี้ของนักวิชาการกลุ่มนี้เหมือนหรือต่างจากสถานการณ์ของไวรัสโคโรนาในปัจจุบันของรัฐบาลจีนแค่ไหน เราจะเห็นว่าเอาเข้าจริงแล้วมีส่วนที่เหมือนกันอยู่ กล่าวคือ การต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันระหว่างรัฐบาลและกลุ่มต่าง ๆ ยังคงดำเนินไป แม้สภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงไปเพราะโรคระบาด
อันที่จริงแล้ว ไวรัสโคโรนาอาจเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายอำนาจของจีนแต่แรกเลยด้วยซ้ำ เพราะแดนี่ โชแฮม เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายวิเคราะห์อาวุธชีวภาพของรัฐบาลอิสราเอล ตั้งข้อสังเกตให้วอชิงตันไทม์ฟังว่าไวรัสโคโรนาอาจจะไม่ได้มีต้นตอมาจากพื้นที่แออัด พฤติกรรมการกินหรือการลักลอบค้าสัตว์เถื่อน แต่อาจจะหลุดออกมาจากศูนย์วิจัยในสถาบันไวรัสวิทยาซึ่งตั้งอยู่ในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทดลองแห่งเดียวในจีนที่สามารถทำงานกับไวรัสที่มีฤทธิ์ถึงตายได้ แม้ว่าทางการจีนจะปฏิเสธว่าสถาบันดังกล่าวไม่ได้วิจัยเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพ แต่แดนี่ตั้งข้อสังเกตว่าสถาบันไวรัสวิทยาดังกล่าวกำลังพัฒนาอาวุธชีวภาพให้กับรัฐบาลจีนอยู่อย่างลับ ๆ
แน่นอนว่ารัฐบาลจีนคงไม่ได้เผยแพร่ไวรัสตัวนี้ออกมาอย่างตั้งใจ ไม่ว่าจะออกมาจากห้องทดลองหรือตลาดมืดก็ตาม แต่ผลที่ตามมาเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ กล่าวคือ โรคระบาดส่งผลให้สภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปและทุกประเทศต้องปรับตัวเพื่อรักษาหรือขยายอำนาจต่อไป ตัวอย่างเช่น ในการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาของสำนักข่าวแห่งหนึ่งของจีน (ซึ่งเราคงทราบกันดีว่าสื่อของจีนอยู่ใต้อิทธิพลของรัฐบาลมากเพียงใด) มีการแสดงแผนที่ระดับความเสี่ยงตามพื้นที่ต่างๆ ของประเทศจีน โดยในแผนที่ดังกล่าว จีนก็ยังไม่วายอ้างสิทธิเหนืออาณาเขตของไต้หวัน และพื้นที่ในเขตเส้น 13 ประซึ่งครอบคลุมเกาะแก่งต่าง ๆ ในข้อพิพาททะเลจีนใต้ ! ในแง่นี้ จะเห็นได้ว่าเกมแย่งชิงอำนาจในการเมืองโลกยังคงเหมือนเดิม เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบไปตามสถานการณ์เท่านั้น
แผนที่การระบาดในสื่อจีน ที่มา news.sina.cn
หมายเหตุ: ปัจจุบันสำนักข่าวดังกล่าวมีการเปลี่ยนรูปแผนที่โดยตัดรอยประ 13 จุดออกแล้ว
คำพยากรณ์ 2: มาตรการเด็ดขาด แต่ชนชั้นนำรอดก่อน
นักวิชาการรัฐศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งที่ให้ความสำคัญไปที่การศึกษาการเมืองภายในประเทศมากกว่าให้ความเห็นจากอีกมุมหนึ่ง โดยเชื่อว่าการเมืองที่มีลักษณะรวมศูนย์ของจีน ที่อำนาจการตัดสินใจผูกขาดอยู่ที่ผู้นำเพียงไม่กี่คนในพรรคคอมมิวนิสต์และลูกหลานของสมาชิกพรรคที่มีอิทธิพลทางธุรกิจ โดยไม่ต้องฟังความเห็นของประชาชน จะส่งผลต่อมาตรการรับมือกับซอมบี้ของจีนอย่างมาก กล่าวคือ ถ้าซอมบี้เกิดขึ้นในจีน รัฐบาลน่าจะใช้มาตรการที่เด็ดขาดในการแก้ปัญหาโดยไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน เช่น การปิดล้อมพื้นที่เสี่ยงและปราบปรามซอมบี้ (โดยอาจรวมถึงคนด้วย) อย่างไม่แยกแยะ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นถ้าซอมบี้บุกก็คือรัฐบาลจีนจะให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลสำคัญไม่กี่คนของรัฐบาลจีนก่อน ด้วยการแจกสิ่งของที่จำเป็น (เช่น หน้ากาก เสบียงอาหาร รถกันกระสุน ฯลฯ) หรือหาทางหนีทีไล่ให้แก่บุคคลดังกล่าวในยามวิกฤติ แต่รัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะไม่ค่อยลงทุนในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและจำเป็นต่อการควบคุมหรือป้องกันสาธารณภัยของประชาชน เพราะการลงทุนเช่นนี้ใช้ต้นทุนสูงกว่า ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจึงมีแนวโน้มล้มตายเพราะสาธารณภัยในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมากกว่าด้วยเช่นกัน
หากเอาการประเมินของ Drezner เกี่ยวกับซอมบี้มาใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจากไวรัสโคโรนาในปัจจุบันจะพบว่ามีความสอดคล้องกันอยู่บ้าง ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิงสั่งใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับเหตุโจรกรรมและผู้ก่อกวนการทำงานของแพทย์ โดยคาดโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต นอกจากนี้ ยังมีการสั่งเรียกประชุม ออกคำสั่งห้ามเดินทาง รวมไปถึงมาตรการอื่น ๆ ในแง่นี้ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยระบุว่าจีนสามารถแก้ปัญหาได้เด็ดขาดมากกว่าเพราะไม่ต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนนั้น นับว่ามีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย ประเด็นเรื่องการไม่ค่อยลงทุนกับมาตรการยับยั้งและควบคุมโรคระบาดเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณชนก็นับว่ามีส่วนจริงเช่นกัน แม้จะมีการสั่งตั้งโรงพยาบาลในอู่ฮั่นทันที แต่หากดูกันจริงๆแล้วนี่ก็แสดงว่าจีนไม่ได้มีความพร้อมในการรับมือเลย ถึงเพิ่งได้มาสร้างเอาตอนนี้ สิ่งที่ Drezner น่าจะพูดถูกอีกอย่างก็คือการที่ชนชั้นนำรอดก่อน เพราะปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดในพรรคคอมมิวนิสต์เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา
คำพยากรณ์ 3: ปิดข่าว เอาใจนาย จนยืดเยื้อ
อีกประเด็นหนึ่งที่ก่อให้เกิดความวิตกอย่างมากในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาคือปัญหาเรื่องการปิดข่าวและเฟคนิวส์ ในช่วงที่ผ่านมา ชาวเน็ตในโลกสื่อสังคมออนไลน์เผยแพร่คลิปวิดิโอที่ผ่านการแชร์กันมา บ้างระบุว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงกว่าที่ทางการระบุ บ้างระบุว่ารัฐบาลจีนไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ สิ่งที่แชร์กันมาอาจจะเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมก็ได้ แต่หากมองจากมุมของงานวิจัย เราควรแยกเรื่องการปิดข่าวและเฟคนิวส์ออกจากกันก่อน
จากการรวบรวมงานวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับจีนของ Drezner พบว่าการปิดข่าวเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในประเทศจีน เหตุผลแรกคือการเอาใจนาย กล่าวคือ เนื่องจากการเลื่อนตำแหน่งขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เจ้าหน้าที่ระดับรองลงมาซึ่งประจำอยู่ในพื้นที่จึงมีแนวโน้มให้ข้อมูลสวยหรูเกินจริงกับนายเหนือหัว เหตุผลที่สองคือเนื่องจากรัฐบาลจีนไม่ชอบให้ประชาชนในสังคมใช้เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ ผู้นำจีนเองจึงมีแนวโน้มที่จะปิดข่าวเพื่อลดความตื่นตระหนักของประชาชน
ในสภาพแวดล้อมทีมีการปิดข่าวเช่นนี้ ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบ เพราะผู้นำเองก็ไม่ได้ข้อมูลที่แม่นยำจากลูกน้องเพื่อประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย ส่งผลให้นโยบายที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพราะไม่ต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนมีประสิทธิภาพน้อยลง ส่วนประชาชนเองก็ไม่ได้รับทราบถึงปัญหาและแนวทางการป้องกัน นี่เป็นสิ่งที่ Drezner คาดว่าจะเกิดขึ้นถ้าซอมบี้ผุดขึ้นมาจากหลุมฮวงซุ้ย ขอย้ำว่าไม่ใช่การวิเคราะห์เกี่ยวกับไวรัสโคโรนา!
แต่ข้อเสนอเหล่านี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มาจากกรณีที่เคยเกิดขึ้นแล้วตอนที่จีนรับมือกับโรคซาร์สในช่วงปี 2003 ในขณะนั้น รัฐบาลจีนไม่มีหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยด้านโรคระบาด และปิดข่าวไม่แจ้งต่อองค์การอนามัยโลก และไม่แจ้งให้ประชาชนทราบจนเหตุบานปลาย เหตุครั้งนั้น มีรายงานว่าหมอได้รับคำสั่งไม่ให้แจ้งข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ขององค์การอนามัยโลกที่เข้ามาตรวจสอบ แพทย์คนหนึ่งที่พยายามเปิดเผยดังกล่าวถูกจับกุมไปอยู่ในค่ายทหารและเพิ่งถูกปล่อยตัวในปี 2014 ที่ผ่านมา จากการปิดข่าวในครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิต 773 คนใน 30 ประเทศ
แม้รัฐบาลจีนจะออกมาขอโทษและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล้วบางส่วน แต่ปัญหาการปิดข่าวก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้างในกรณีของไวรัสโคโรนา ตัวอย่างเช่น ในช่วงแรกเจ้าหน้าที่ของจีนออกมาประกาศว่ายังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จนกระทั่งสถานการณ์เริ่มบานปลายจึงออกมายอมรับว่าไวรัสโคโรนาเป็นเชื้อที่เผยแพร่จากคนสู่คน ขณะเดียวกัน ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ “เว่ยโป๋” ก็ออกมากล่าวว่ายังไม่ได้รับแนวทางการป้องกันตัวจากรัฐบาลจีนแต่อย่างใด ทั้งที่เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกออกมาให้ความเห็นแล้วว่าการปิดสนามบินไม่ช่วยต่อการควบคุมโรคเท่ากับการให้แนวทางป้องกันตัวต่อประชาชน นี่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐเผด็จการอำนาจรวมศูนย์ของจีนยังจะต้องเผชิญกับความท้าทายเกี่ยวกับการปิดข่าวต่อไป แม้ว่าสังคมในภาพรวมจะได้รับผลกระทบก็ตาม
คำพยากรณ์ 4: ข่าวปลอมน่ากลัวไม่ต่างจากโรคระบาด
ในแวดวงคนที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเมืองโลก มีนักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับความสำคัญของ “ความคิด” ในฐานะสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อตัวตนและความเชื่อของรัฐหรือผู้วางแผนและตัดสินใจนโยบาย โดยเขาเรียกทฤษฎีที่ตนเองสร้างขึ้นว่า “ทฤษฎีสรรสร้างนิยม (constructivism)” ในทฤษฎีที่ว่านี้ เขาเชื่อว่าซอมบี้ไม่ได้น่ากลัวที่ตัวเชื้อโรคหรือลักษณะทางชีวภาพด้วยตัวมันเอง แต่น่ากลัวที่แนวคิดและแบบแผนทางสังคมในกลุ่มซอมบี้มากกว่า กล่าวคือ ซอมบี้ไม่ใช่โรคติดต่อที่ติดกันผ่านเชื้อไวรัส แต่ติดกันผ่านความคิด
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนโฆษณาชวนเชื่อกรอกหัวเราไปเรื่อย ๆ ว่าเราเป็นซอมบี้ที่มีพฤติกรรมเดินเซ กินอาหารออร์แกนิคอย่างเนื้อคนเป็นอาหารและไม่อาบน้ำแปรงฟัน เราก็มีแนวโน้มที่จะเป็นแบบนั้นไปด้วย และยิ่งมีคนเลียนแบบพฤติกรรมซอมบี้มากขึ้นเท่าไหร่ คนก็จะยิ่งทำตามเพื่อนและกลายเป็นซอมบี้มากขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกัน การนำเสนอเกี่ยวกับวันสิ้นโลกบ่อย ๆ ก็อาจส่งผลต่อความเชื่อของคนในสังคมจนพวกเขายอมจำนนและไม่ลุกขึ้นสู้กับซอมบี้ จนโลกถูกครอบงำด้วยซอมบี้ไปในที่สุด แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราต่อสู้กับแนวคิดซอมบี้และปรับพฤติกรรมของซอมบี้ให้อยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ เชื้อซอมบี้ก็อาจไม่ใช่ปัญหาด้วยตัวมันเอง
การกล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความให้เรานิ่งเฉยต่อไวรัสโคโรนา หรือบอกว่าแค่เราคิดว่าเราจะไม่ติดเชื้อ เราก็จะไม่ติดเชื้อ โลกไม่ได้ง่ายแบบนั้น ผู้เขียนเพียงแต่ต้องการบอกว่าข่าวปลอมอันตรายไม่ต่างจากโรคระบาด เพราะถ้าดูไปที่ภาษาแล้ว คำว่า viral ที่ใช้กับคลิปวิดิโอ โพสต์เฟสบุ๊ค หรือทวีตที่ได้รับความนิยมนั้น มีรากศัพท์ไม่ต่างจากคำว่า virus กล่าวคือมีความหมายในแง่ของการแพร่กระจายเหมือนกัน ข่าวปลอมเหล่านี้มักมาพร้อมกับข้อมูลที่สร้างความตื่นตระหนก ส่งผลให้เรายอมจำนนต่อสถานการณ์ หรือทำอะไรหลายอย่างที่ผิดพลาด ในแง่นี้แล้วการสร้างภูมิคุ้มกันข่าวปลอมก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาเลย ยิ่งในสถานการณ์ที่รัฐบาลจีนมีแนวโน้มปิดข่าวและคนคิดกันไปเองต่าง ๆ นานา การสร้างภูมิคุ้มกันยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นอีก
หนึ่งในภูมิคุ้มกันที่สำคัญก็คือความคิดที่ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่วันสิ้นโลกขณะนี้องค์การอนามัยโลกและทีมแพทย์กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อจัดการกับปัญหา จีนเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นบ้างแล้ว รัฐบาลกำลังปรับตัวเพื่อพัฒนามาตรการรับมือให้ดีขึ้น อินเตอร์เน็ตช่วยให้ประชาชนติดตามข่าวสารสถานการณ์และเรียนรู้แนวทางการรับมือได้ดีขึ้น แม้แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้ Drezner ก็ยังเชื่อว่ามนุษย์สามารถต่อสู้และเอาชนะซอมบี้ได้ สวนทางกับภาพยนตร์ซอมบี้ส่วนใหญ่ที่จบลงด้วยการสูญพันธุ์ของมนุษยชาติ
แต่นอกจากความรู้เท่าทันสื่อแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการคิดเชิงวิพากษ์ เพราะนอกจากการหาวิธีปรับตัวเพื่อให้สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว การลุกขึ้นมาตั้งคำถามใหญ่ ๆ เช่นว่าปัจจุบันภาพรวมของการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ของรัฐบาลต่าง ๆ มีความพร้อมแค่ไหน รูปแบบการจัดการรับมือกับโรคระบาดที่ดีควรเป็นอย่างไร ประชาชนจะสามารถมีส่วนกำหนดทิศทางของรัฐบาลเพื่อให้ไปถึงจุดมุ่งหมายดังกล่าวได้อย่างไร การขยับขยายความเป็นไปได้ของการถกเถียงเหล่านี้ก็นับเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)