1MDB บอกอะไรกับเรา: ความ_______ ของระบบความยุติธรรมแบบไทยๆ ที่ตำรวจไทย สังคมไทย และคนที่ต้องการความยุติธรรม กลายมาเป็น “เหยื่อ”

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

โลกคือละคร ทุกตอนต้องแสดง ทุกคนทนไป

เมื่อมีคนบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ “มีเอี่ยว” กับการคอรัปชั่นครั้งยิ่งใหญ่ของโลกที่เป็นข่าวล่าสุด ก็ทำให้ส่วนตัวเกิดความสงสัยจนต้องไปสืบค้นรายละเอียดและหาข้อมูลเพิ่มเติมจากสื่อนานาชาติเพื่อมาประกอบด้วยว่ามันจริงหรือไม่

ปรากฎว่า นอกจากคำแถลงที่ปรากฎในข่าวไทยแล้ว ข่าวจากสื่อต่างชาติก็ได้ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจมาก ถึงกรณีการจับกุมนายซาเวียร์ จัสโต้ ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลกับนักข่าวแคลร์ บราวน์ที่เป็นนักข่าวผู้เปิดเผยเรื่องทั้งหมด

เล่าเรื่องยาวให้สั้นเข้า[1] นายซาเวีย จัสโต้เคยทำงานให้กับบริษัทเปโตรซาอุดิที่เป็นหนึ่งในตัวละครหลัก ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคอรัปชั่นเงินจากโครงการ1MDBของมาเลเซีย และในที่สุดก็ลาออกมา โดยยังไม่ได้รับการจ่ายเงินจึงเก็บข้อมูลการทำงานไว้ เรื่องราว

ผ่านมาพอสมควร ในที่สุดเขาได้พบกับนักข่าวแคลร์ บราวน์ และเขาเป็นผู้ให้หลักฐานข้อมูลซึ่งมีส่วนที่สามารถช่วยให้เธอนำมาพิสูจน์สืบเชื่อมโยง ความเกี่ยวโยงกันของโครงการ 1MDB กับผู้นำมาเลเซียและลูกเลี้ยง และการที่เงินทั้งหมดไหลออกจากมาเลเซียและถูกจับจ่ายใช้สอยไปเพื่อลงทุนทำภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งซื้อของขวัญสุดหรูได้[1]

ณ ช่วงเวลาก่อนโดนจับเขาและครอบครัวอาศัยอยู่ในเมืองไทยและกำลังลงทุนสร้างรีสอร์ทตากอากาศกัน

  1. ซาเวียร์ถูกจับ โดยในคำสัมภาษณ์ เขาพูดอย่างชัดเจนว่าเมื่อตำรวจมาจับตัวเขาไปแล้วนั้น ระหว่างการควมคุบตัว ตำรวจไทยได้ปล่อยให้ชาวต่างชาติคนหนึ่ง ที่ระบุตัวเองว่าเป็น “สก๊อตแลนยาร์ด” ที่ถูกส่งตัวมาจากรัฐบาลอังกฤษเพื่อสืบเคสนี้เข้ามาสอบสวนเขาด้วย โดยนายตำรวจ “สก๊อตแลนยาร์ด” คนนี้ มีส่วนอย่างมากในการผลักดันให้ซาเวียร์ สารภาพรับผิดว่าเขาขโมยข้อมูลภายในมาเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตและบอกว่านักข่าวแคลร์ปลอมแปลงข้อมูลที่เธอเผยแพร่ออกมา [2]
     
  2. แถมเพิ่มว่าระหว่างการถูกจัมกุมเขาไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว และถูกกดดันจนในที่สุดก็ยอมเซ็นรับสารภาพ และถูกตัดสินจำคุก 3 ปี ภายใต้คำสัญญาจากบุคลากรของเปโตรซาอุดิที่ว่าถึงรับสารภาพผิดแล้ว เขาจะไม่ติดจริงนานขนาดนั้น และบอกว่า “นี่เป็นทางออกเดียว” และจนถึงจุดหนึ่ง ก็บังคับให้ภรรยาของเขาดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นอัดเสียงการคุยกัน เพื่อนำมาใช้เป็นหลักฐานที่จะเอามาล่อจับแคลร์ บราวน์อีกด้วย
     
  3. ตำรวจสก๊อตแลนยาร์ด (ปลอม) หรือนายพอล ฟินนิแกน สามารถเข้าเยี่ยมซาเวียร์ได้หลายครั้ง โดยไม่เคยปรากฎรายชื่อในเอกสารผู้เข้าเยี่ยม[3]
     
  4. ตำรวจไทย ชื่อนายไพฑูล จอยสาคู เข้าเยี่ยมซาเวียร์ โดยไม่ได้แจ้งว่าตัวเองเป็นตำรวจไทย แต่ในใบเข้าเยี่ยม ใช้ตำแหน่งว่า “เพื่อน”[4]
     
  5. ซาเวียร์ให้สัมภาษณ์ว่า ระหว่างติดคุกอยู่ในไทยทางการสวิสเซอร์แลนด์(ซึ่งเขาถือสัญชาติ) ต้องการที่จะทำเรื่องส่งตัวเขามารับโทษในสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งคำขอนี้เขาบอกว่าได้รับอนุญาต แต่แผนการนี้ก็ถูกเปลี่ยนแปลง เนื่องจากนาจิบ ราซัค เดินทางมาไทยอย่างไม่เป็นทางการ และแผนการเดินทางของเขาก็ถูกระงับทันที โดยทางการไทยภายหลังต้องการที่ส่งตัวเขาไปที่มาเลเซีย และทางการสวิสได้พยายามต่อสู้อย่างหนัก และป้องกันไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น[5]

จากการอ่านข่าวและฟังคำสัมภาษณ์ของซาเวียร์หลายฉบับ ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า ถึงไม่ต้องเป็นนักกฎหมายหรือทนายความ คนอ่านข่าวก็ต้องมีความรู้สึกว่าเขาถูกจับกุม สอบสวน และดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมในประเทศไทย

มันเป็นที่น่าสงสัยมากกว่า ในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจไทย อยู่ๆ จะมี “สก๊อตแลนยาร์ด” ดุ่มๆ เข้ามาร่วมอยู่ในกระบวนการได้อย่างไร?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภายหลังก็พิสูจน์ทราบได้ว่า ชายต่างชาติคนนี้ไม่ได้เป็น“สก๊อตแลนยาร์ด”แต่อย่างใด[6]  

กระบวนการสืบสวนแบบ “ไทยๆ ” ของเรานั้น มันมีช่องโหว่ให้คนเข้ามาแทรกแซงได้อย่างง่ายๆ แบบนั้นเลยหรือ?

กระบวนยุติธรรมไทย มีความโปร่งใสแค่ไหน?

และมีโอกาสที่ถ้าคนถูกกล่าวหา “บริสุทธิ์” ขึ้นมา มันมีขั้นตอนใดบ้าง ที่เอื้อต่อคนเหล่านี้?

จากการสืบค้นจากสื่อนานาชาติและจากคำสัมภาษณ์ของเหยื่อเอง ทำให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไทย “ถูกแทรกแซงได้” และไม่ใช่การแทรกแซงตามหลักสนธิสัญญาและข้อตกลงระหว่างประเทศที่เป็นที่ปฎิบัติ เช่นสัญชาติของผู้ต้องขัง หรือเหตุแห่งการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ส่งตัวไปรับโทษในประเทศบ้านเกิด แต่กลับเป็นพลังอำนาจทางการเงินและการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองชาวต่างชาติ ทุนใหญ่ หรือเจ้าชายชาวตะวันออกกลาง

ซาเวียร์เป็นชาวต่างชาติ มีเงินมีทองซื้อที่ดินที่เกาะสมุยได้ ลงทุนจะสร้างรีสอร์ท ดังนั้นนับประสาอะไรกับคนเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ ก็คงต้องรับกรรม “ยอมสารภาพ” ง่ายๆ ไปตามระเบียบ บุญกรรมความหนักของโทษก็คงต้องแล้วแต่คนอื่นตัดสินไป ภายใต้ประเทศที่ก็ยังมีโทษประหารแห่งนี้

นี่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ และส่อให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไทยแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้นั้นไร้ซึ่งอนาคต

ในประเทศที่เราหวังไม่ได้ว่าจะมีขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งที่จะมากลั่นกรองทั้งท้วงความยุติธรรมที่ผิดปกติ มันไม่มีขั้นตอนใดที่เราจะนำมาตรวจสอบ ทักท้วงเรียกร้องหาความยุติธรรมได้เลย ในเมื่อเราไม่เคยสามารถที่จะตั้งคำถามได้ว่า

การจับกุมนั้นเป็นไปอย่างชอบธรรมหรือไม่

การสืบสวนสอบสวนนั้นทำไปโดยสุจริตมั้ย

วิธีพิจารณาถูกใช้อย่างไร

และคำตัดสินที่วิจารณ์ก็ไม่ได้นั้นสมเหตุสมผลรึเปล่า

พูดแบบแฟร์ๆ กับรัฐบาล ถ้าใครสงสัยว่ามีใครออกมาตอบโต้กรณีนี้หรือไม่ ท่านสามารถอ่านได้ที่ นี่ นี่ และที่นี่

ที่ตลกก็คือ ไม่มีใครเลย ที่ตอบเราตรงๆ ว่า ทำไม ถึงมีคนอื่นเข้าไปเยี่ยมนายซาเวียร์ได้ ไม่มีใครให้ความกระจ่างได้ว่าที่ตำรวจแถลงข่าวเกี่ยวกับการที่ทางการสหราชอาณาจักรมามีส่วนร่วมในการสืบสวน(ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง) มีเรื่องราวที่มาเป็นอย่างไร

ไม่มีใครตอบอะไรตรงๆ ทุกคนแถลงข่าวและอธิบายข้อเท็จจริงได้เพียงกรณีช่วงเวลาในการรับโทษของซาเวียร์เท่านั้น

แต่เรื่องอื่นที่เป็นกรณีสงสัย เป็นข้อครหา และถูกอ้างขึ้นในการดำเนินคดีในศาลประเทศอื่น และตีพิมพ์เป็นข่าวทั่วโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่มีคำตอบ

ถ้าเรามองว่ารัฐบาลนี้มีหน้าที่ต่อคนไทย ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์

การให้คำตอบกับประชาชนแบบนี้ก็เหมือนกับตบหน้าเรา เพราะมันคือตอบคำถามลอยๆ แบบไม่ได้ลงสาระที่สำคัญที่เป็นเรื่องที่พวกเราอยากรู้จริงๆ (ซึ่งที่จริงแล้วถ้าถือแบบนี้ก็เหมือนเราโดนตบหน้าอยู่ทุกวัน เพราะก็ไม่เห็นว่ารัฐบาลจะเคยตอบหรือแถลงอะไรตรงๆ ทุกครั้งมีประเด็นอื้อฉาว)

“ผมควบคุมการเข้าเยี่ยมซาเวียร์ได้หมดแหละ ยกเว้นแค่การเข้าเยี่ยมของทนาย”

นี่คือคำพูดของทางฝ่ายตรงข้าม ที่พูดกับภรรยาของซาเวียร์ ในระหว่างที่เขาถูกจับกุมคุมขัง[7]

ในฐานะทนายความ ผู้เขียนเข้าใจเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

เข้าใจว่า เหนือกฎหมาย ยังมีรถถัง

เข้าใจว่า เหนือความยุติธรรม ยังมีอำนาจมืด

และเข้าใจว่า เหนือกระบวนการยุติธรรมไทย ยังมี “มือที่มองไม่เห็น”

ผู้เขียนไม่อยากจะโทษตำรวจไทย และไม่อยากจะให้คิดว่านี่คือความชั่วร้ายที่เกิดจากความเลวในจิตใจของตำรวจ และเป็นหน้าที่ที่ตำรวจไทยต้องรับผิดชอบแต่เพียงอย่างเดียว ไม่อยากจะให้เราติดอยู่ในวาทกรรมที่คิดแค่ว่าตำรวจมันเหี้ย มันเลว เพราะในประเทศที่สังคมไม่มีความเชื่อมั่นว่าระบบความยุติธรรมมันน่าเชื่อถือ มีความศักดิ์สิทธิ์และจะปกป้องเราเมื่อเราพูดความจริงและทำสิ่งที่ถูกต้อง ใครๆ ก็ต้องตัวใครตัวมัน

ถ้าเรามองจริงๆ ที่ก็คือการคุยกันในระดับของคนเบื้องบน ผู้นำประเทศ อีลีทระดับนานาชาติ และพลังเงินใหญ่

ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนไทย สังคมไทย ตำรวจ ศาล อะไรใดๆ ทั้งสิ้น แต่ของเหล่านี้มันอยู่เหนือเรา และเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้น มันกลับกลายมาเป็นเรื่องที่คนเล็กคนน้อยต้องเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ตำรวจไทยต้องรับหน้า กลายเป็นเพื่อผลประโยชน์ของคนเหล่านี้ เป็นตำรวจไทยและสังคมไทยที่จะต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียง โดนครหา ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็อาจจะถูกบีบให้ต้องทำไปตามนั้นก็ได้

ในฐานะคนไทย พวกเรารับกรรมหลายอย่าง

ตำรวจรับกรรม เพราะที่จริงก็ทำอะไรไม่ได้ เงินก็น้อย สวัสดิการก็ไม่ดี งานก็เยอะ นายก็สั่ง

ฝรั่งก็รับกรรม เพราะระบบและกระบวนการที่หละหลวมและ “สั่งได้” ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่นอกจากจะฟังอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว ทุกคนที่เข้าเยี่ยมยังไม่ใช่มิตร  แต่เป็นศัตรูที่มานั่งเล่นเกมจิตวิทยาบีบให้เขารับสารภาพในสิ่งที่ไม่ได้ทำ

คนไทยก็รับกรรม เพราะที่จริงแล้วนี่มันแปลว่าถ้าวันใดวันหนึ่ง เราคือเหยื่อที่ต้องการความยุติธรรม

เมื่อไม่มีเงิน ไม่มีพลังอำนาจมืด ไม่มีกระแสความเชื่อหลักอยู่ข้างเรา

เราก็คงจะต้องถูกขังลืมตายคาคุก ถูกซ้อมโดยไม่มีใครจับผู้ร้ายได้ ถูกยัดคดีแล้วไม่ให้ประกันตัว หรือถูกบีบจนต้องยอมสารภาพทั้งที่ไม่ได้ทำ

ส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่า ความเลวร้ายของ 1MDB ในฐานะที่เป็นคนไทย คือข้อเท็จจริงที่ว่าในฐานะประชาชนที่เสียภาษี และเสียเงินให้รัฐบาลเอาไปใช้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราได้ระบบความยุติธรรมที่เหมือนเป็นเครื่องปาหี่ให้ผู้มีอำนาจรัฐบาล นำมาใช้ในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของตัวเอง และไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมที่มีไว้เพื่อจะอำนวยความเป็นธรรมให้ประชาชน

มันคือกระบวนการยุติธรรมของเขา ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมของทุกคน

และไม่ได้ถูกนำมาใช้ เพื่อปกปักรักษาพวกเราประชาชนเลย

และนี่แหละคือความ_______ของระบบความยุติธรรมแบบไทยๆ ที่ไม่ว่าจะมองยังไง ทั้งตำรวจ ทั้งเรา ทั้งฝรั่ง ทั้งสังคม ก็เป็นได้แค่เหยื่ออยู่ดี

 

อ้างอิง 

[1] รายละเอียดทั้งหมดสามารถอ่านได้ที่ https://www.theguardian.com/world/2016/jul/28/1mdb-inside-story-worlds-biggest-financial-scandal-malaysia

[2] ในส่วนของรายละเอียดเรื่องเงิน ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.sarawakreport.org/2019/11/over-to-the-swiss-on-1mdb-time-to-bang-up-obaid-co/

[3] ที่รายงานจาก Al Jazeera ที่มีการเผยแพร่ตั้งแต่ปี 2019 ดูวิดิโอต้นฉบับได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=FeIDiYbQaHs อัพโหลดเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2019

[4] ปรากฏตามคำแถลงของช่อ พรรณิการ์ พร้อมหลักฐานประกอบที่เป็นเอกสารที่ใช้ในขั้นตอนศาลของทางการสวิส 23 ก.พ. 2563 เข้าชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ZmHz9xviUGg

[5] ปรากฏตามคำแถลงของช่อ พรรณิการ์ พร้อมหลักฐานประกอบที่เป็นเอกสารที่ใช้ในขั้นตอนศาลของทางการสวิส 23 ก.พ. 2563 เข้าชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ZmHz9xviUGg

[8] เอกสารปรากฎตามคำแถลงของช่อ พรรณิการ์ พร้อมเอกสารแสดงประกอบ เข้าถึงได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ZmHz9xviUGg  นาทีที่ 47

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท