Skip to main content
sharethis

'ธนาธร' บรรยายพิเศษที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เปิด 3 ภารกิจ คณะอนาคตใหม่ 'สู้ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่น-รณรงค์วาระก้าวหน้าทางการเมือง-สร้างเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัดเพื่อปกป้องประชาธิปไตย'


ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (แฟ้มภาพ)

มติชนออนไลน์ รายงานว่าเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2563 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวขณะบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เมื่อพรรคอนาคตใหม่เป็นอดีต:อะไรจะเกิดขึ้นกับฝ่ายค้านต่อไป” ตอนหนึ่งว่า การตัดสินของศาลบังคับให้พวกเราต้องวิวัฒนาการ พรรคอนาคตใหม่กลายเป็นตัวขับเคลื่อนให้กับคนที่คิดว่า พอกันที และสำหรับคนที่รู้ว่า หากปราศจากการแทรกแซงของพลังอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นในรูปของกองทัพ หรืออะไรก็ตาม ประเทศไทยคงจะดีกว่านี้

สำหรับกลุ่มคนที่ต้องการต่อสู้กับเผด็จการ เพราะพวกเขารู้ดีว่า อนาคตของลูกหลานนั้น จะถูกกำหนดจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตอนนี้แม้ว่าพรรคจะถูกยุบ ทำให้ตัวขับเคลื่อนนั้นพังทลาย แต่ผู้คนจะยังคงเดินหน้าต่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่เรามีร่วมกัน เราขอประกาศว่า จะไม่ยอมแพ้ พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไปแล้ว แต่ประชาชนจะเดินทางต่อไปเพื่อให้ถึงจดมุ่งหมาย เราอยู่ที่นี่และเราจะไม่ยอมแพ้ มันเร็วไปที่จะร้องไห้ หรือยอมแพ้ หลายพรรคการเมืองถูกยุบก่อนที่เราจะโดน พวกเขาคิดว่า การยุบพรรค คือ การทำลายฝ่ายตรงข้ามแต่เราจะพิสูจน์ว่าพวกเขาคิดผิด และช่วงเวลานี่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่ใช่ตอนจบแบบที่พวกเขาต้องการ แต่เป็นเพียง การจบบทแรก และตอนนี้บทที่สอง กำลังเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

"ตอนนี้ผมไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง และไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนอะไรได้ แต่นั้นก็หมายความว่าผมก็ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ตามที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนด ผมสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากขึ้น เพราะคิดแบบนี้ ผมจึงประกาศตั้ง คณะอนาคตใหม่ โดยเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มีความยืดหยุ่นสูง ไม่กำหนดตายตัว ไม่ได้เป็นนิติบุคคล เราเริ่มจาก 6 หมื่นกว่าคนจากอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่จากทุกเพศทุกวัย ที่ต้องการต่อต้านเผด็จการ และสนับสนุนความเท่าเทียมและความเป็นประชาธิปไตยในสังคม" อดีตหัวหน้า อนค.กล่าว

นายธนาธรกล่าวต่อว่า โดยมี 3 พันธกิจ ได้แก่ 

1.สู้ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นเราเชื่อว่า ที่ผ่านมาการเมืองท้องถิ่นไทยถูกผูกขาดโดยกลุ่มครอบครัวที่ใช้เงิน และความรุนแรงในการกินรวบอำนาจของตัวเองในท้องที่ หลายครั้งพบว่าครอบครัวการเมืองเหล่านี้ให้การสนับสนุนการแทกแซงของทหาร เราเชื่อว่าด้วยนโยบายที่ดี ด้วยความตั้งใจที่แนวแน่ การยืนอยู่ตรงข้ามการซื้อเสียง และการใช้เทคโนโลยีมาช่วย เราจะสามารถเปิดศักราชใหม่ในการเมืองท้องถิ่นได้ แบบที่เราทำมาแล้วในการเมืองระดับชาติ หากเราเพิ่มการแข่งขันในการเมืองท้องถิ่นให้เข้มข้นขึ้น จะทำให้นักการเมืองท้องถิ่นต้องปรับวิธีการเล่นการเมือง มิฉะนั้นก็อาจจะแพ้

2.เพราะเราเชื่อว่า ความคิดแข็งแกร่งกว่าปืน บัตรเลือกตั้งแข็งแกร่งกว่ากระสุน เราจะรณรงค์อย่างหนักหน่วง ไม่หยุดหย่อน เพื่อสนับสนุนแนวคิดเสรีนิยม และแนวคิดแบบประชาธิปไตย เราจะรณรงค์เพื่อสนับสนุนสังคมที่รักสิ่งแวดล้อม และสังคมที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นในมหาวิทยาลัย ในชุมชน ในสมาคมการค้าต่างๆ และสมาพันธ์เกษตรกรณ์ ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยไปด้วยตัวเอง ซึ่งนี่คือการต่อสู้ทางความคิด ทั้งนี้ตนเชื่อว่า หากเราชนะสมรภูมิทางคิดได้ เราจะชนะทุกสมรภูมิ เพื่อจะเขียนประวัติศาสตร์ยุคหลัง พล.อ.ประยุทธ์

3.คือสร้างเครือข่ายประชาชนทั้ง 77 จังหวัด เครือข่ายของคนที่ต้องการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย หากมีสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยสามารถสอนบทเรียนให้โลกได้ นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยที่มีอยู่ ทำให้เรารู้ว่า เสรีภาพมีราคาที่ต้องจ่าย เมื่อไม่มีใครยอมจ่ายในส่วนนี้ ทุกคนจึงสูญเสียเสรีภาพ นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องมีเครือข่ายประชาชน เพื่อต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ นี่คือ 3 พันธกิจของเรา

“สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เราเปิดโปงหลักฐานที่ว่า กองทัพไทย มีการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารเพื่อโจมตีพรรคฝ่ายค้าน และบุคคลที่ต่อต้านเผด็จการ โดยหลักแล้วเป็นโครงการที่รัฐบาลให้การสนับสนุน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม โดยใช้ข้อมูล และข่าวปลอม จากการคำนวณคร่าวๆ พบว่ามีเจ้าหน้าที่ในกองทัพหลายพันนาย ทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อส่งข่าวปลอมและวาทะที่สร้างความเกลียดชังทั่วสังคมออนไลน์ เพื่อดิสเครดิตพวกเรา และนี่ทำให้เราได้คำตอบว่า ทำไมคนไทยที่มีความคิดทางการเมืองต่างกัน ถึงมีความเกลียดชังกันนัก เป็นเพราะว่า ความเกลียดชังไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดจากการผลิตขึ้นมาอย่างเป็นระบบ และอย่างตั้งใจ” นายธนาธรกล่าว และว่า พวกเขาต้องการให้เราเชื่อว่าประชาธิปไตยและการแตกแยกทางคิดทางการเมืองเป็นปัญหา และประชาธิปไตยไม่เหมาะกับประเทศไทย ดังนั้น การแทรกแซงของอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงมีความจำเป็นและทหาร คือ พระเอกขี่ม้าขาว นั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ

เมื่อถามถึงการเคลื่อนไหวของคณะอนาคตใหม่ จากนี้มีแนวทางอย่างไร นายธนาธรกล่าวว่า การเคลื่อนไหวจากนี้คือการพยายามเข้าถึงคนรากหญ้า และเน้นการทำการเมืองท้องถิ่น เพราะการเมืองท้องถิ่น คือสิ่งที่ใกล้ตัวคนที่สุด ขณะที่ในสภา เป็นแค่เพียงการผ่านกฎหมาย พวกเราต้องการพิสูจน์ให้คนเห็นว่า เราสามารถมีการเมืองที่ดีจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงกับคนระดับรากหญ้าโดยตรง

“ผมขอยกตัวอย่าง จ.เชียงใหม่ ที่ไม่เคยมีการดีเบตระหว่างผู้สมัครนายกเทศมนตรีเมืองเชียงใหม่มาก่อน ว่าเขาต้องการเห็นเมืองเชียงใหม่ในอีก 20 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร ผมต้องการที่จะสร้างการเมืองที่เข้มแข็งและสร้างสรรค์ ต้องการเพิ่มการแข่งขันให้เกิดขึ้นในการเมืองระดับท้องถิ่น” นายธนาธรกล่าว และว่า แม้ว่าตนจะไม่สามารถส่งคนลงเลือกตั้งได้ด้วยตนเอง แต่ตนช่วยรณรงค์หาเสียง ผู้สมัครที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเดียวกันได้

นายธนาธรยังกล่าวถึงการออกมาชุมนุมแฟลชม็อบของนักศึกษาในหลายมหาวิทยาลัยในประเทศไทยว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องการกับเคลื่อนไหวดังกล่าว หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากจุดประกายทางความคิดและสร้างบันดาลใจกันและกัน และยอมรับว่า ตนประหลาดใจที่เห็นนักศึกษาเหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหวในอนาคตข้างหน้า เราจะต้องนำพาทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกัน ออกมาเพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เราจะต้องทำมันให้สำเร็จ และต้องไม่เสียโอกาสนี้โดยเด็ดขาด สำหรับตนรูปแบบและวิธีสามารถยืดหยุ่นได้ แต่ที่สำคัญคือ อุดมการณ์ต้องไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าการชุมนุมของนักศึกษาจะไม่บานปลายเหมือนในฮ่องกง เพราะพวกเขารู้จักการชุมนุมอย่างสันติวิธี

แต่คำถามที่สำคัญคือ อะไรจะเป็นข้อเรียกร้องร่วมกันที่ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลจะยอมรับร่วมกันได้ โดยข้อเรียกร้องทั่วไปมีอยู่ 2 ทางคือ 1.ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ 2.คือยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งตนเชื่อว่าทางออกเดียวที่นักศึกษาจะพอใจ คือ ต้องยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่หรือไม่อยู่ ก็ตาม ระบอบเผด็จการก็ยังคงดำเนินต่อไป

การเลือกตั้งที่ผ่านมา ประชาชนที่ออกมาเลือกตั้ง 35 ล้านเสียง 47% เลือกพรรคที่มีจุดยืนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ 25% เลือกพรรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่อีก 27% เลือกพรรคที่ไม่แสดงจุดยืนว่าเอาหรือไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ระยะห่างระหว่างคนที่เอาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นต่างกันเยอะมากแต่กลับกลายเป็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่สะท้อนผลการเลือกตั้ง ที่แท้จริงและไม่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชน

เมื่อถามว่า หากต้องเข้าเรือนจำ นายธนาธรวางแผนไว้อย่างไร นายธนาธรกล่าวว่า เอาจริงๆ ก็ไม่อยากเข้าคุก เพราะลูกชายคนเล็กสุดอายุแค่ 15 เดือน และยังอยากดูลูกเติบโตต่อไป แต่หากต้องเข้าจริงๆ ก็ยืนยันว่าจะไม่หนี อย่างไรก็ตามรัฐพยามใช้กระบวนการทางกฎหมาย เพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้าม อย่างกรณีของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ที่ออกมาพูดเรื่อง 1MDB ส.ส.ร่วมพรรค และบรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน เนื่องจากรัฐมองว่าเป็นอุปสรรคในการครองอำนาจของรัฐ

เมื่อถามถึงความรู้สึกและบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการที่มี ส.ส.แปรพักตร์ไปอยู่กับรัฐบาล นายธนาธรกล่าวว่า มีทั้งหมด 14 คนสิ่งที่ตนเรียนรู้อย่างเจ็บปวดคือ การหักหลังเป็นเรื่องธรรมดาในเกมการเมือง เนื่องจากมีเวลาหาตัวผู้สมัคร ส.ส.เพียงแค่ 3 เดือนทำให้ไม่สามารถรู้จักปูมหลังของผู้สมัครแต่ละคนได้มากกว่าข้อมูลที่ปรากฏบนใบสมัคร ซึ่งตนรู้สึกถูกหักหลังและผิดหวังเป็นอย่างมากกับ ส.ส.ที่แปรพักตร์ เพราะพรรครณรงค์อย่างเข้มข้นก่อนการเลือกตั้งว่า ไม่เอาเผด็จการอย่างเด็ดขาด

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net