Skip to main content
sharethis

12 มี.ค. 2563 รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับโควิด-19 ในรอบวัน ข้อมูลจากสำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข วันนี้พบผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นกลุ่มก้อน 11 ราย ทั้งหมดเป็นคนไทย อายุ 25 – 38 ปี เป็นการค้นพบจากการขยายการคัดกรองการป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจเป็นกลุ่มก้อน และมีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านได้ 1 ราย สรุปผู้ป่วยยืนยันรักษาหายกลับบ้านแล้ว 35 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 34 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 70 ราย มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.– 11 มี.ค.2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 5,232 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 219 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 5,013 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 3,865 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,367 ราย ส่วนสถานการณ์ทั่วโลกใน 121 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสำราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 ม.ค.– 12 มี.ค.2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 121,996 ราย เสียชีวิต 4,390 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,790 ราย เสียชีวิต 3,158 ราย

นายแพทย์สุขุม  กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต    นายแพทย์ธเรศ  กรัษนัยรวิวงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า ในวันนี้ มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านได้ 1 ราย เป็นหญิงอายุ 62 ปี รักษาที่สถาบันบำราศนราดูร และพบผู้ป่วยยืนยันเป็นกลุ่มก้อน 11 ราย เป็นคนไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นการค้นพบจากการขยายการคัดกรองการป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจเป็นกลุ่มก้อน โดยสรุปวันนี้ มีผู้ป่วยยืนยันที่รักษาหายแล้ว 35 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 34 ราย เสียชีวิต 1 ราย ผู้ป่วยสะสม 70 ราย สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก 1 ราย ที่สถาบันบำราศนราดูร ยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

กระทรวงสาธารณสุข ได้รับรายงานผู้ป่วยจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ให้ประวัติว่า  เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2563 ได้พบปะกลุ่มเพื่อนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงที่มาเที่ยวเมืองไทย หลังจากนั้น 4 วัน (วันที่ 25 ก.พ. 2563) เริ่มป่วยด้วยอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ไอ ในขณะที่มีอาการป่วยอยู่นั้นได้นัดสังสรรค์กับเพื่อนสนิทอีก 2 ครั้ง (วันที่ 27 และ 29 ก.พ. 2563) โดยมีพฤติกรรมดื่มสุราแก้วเดียวกัน สูบบุหรี่มวนเดียวกัน หลังจากนั้นในวันที่ 4 มี.ค. 2563 ผู้ร่วมสังสรรค์เริ่มทยอยป่วย 7 คนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยตรวจพบการติดเชื้อ 11 คนจากทั้งหมด 15 คน (รวมผู้ป่วย) เป็นชาย 5 คน หญิง 6 คน ช่วงอายุ 25 – 38 ปี ในจำนวนนี้มี 4 คนที่ไม่ป่วยเเละไม่ติดเชื้อ ทั้งหมดให้ประวัติว่า ไม่ได้ดื่มเหล้าเเละสูบบุหรี่ร่วมกับกลุ่มเพื่อน กระทรวงสาธารณสุข ได้ติดตามครอบครัวและเพื่อนที่ไม่ได้ร่วมกลุ่มสังสรรค์เบื้องต้น 70 คน ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการครั้งแรกไม่พบเชื้อ จึงไม่พบหลักฐานว่าเกิด super spreading เนื่องจากเป็นการติดเชื้อในกลุ่มเพื่อนสนิทที่ร่วมวงสังสรรค์ ยังไม่ออกนอกกลุ่ม

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย ก.มหาดไทย ผลิตหน้ากากผ้าทยอยแจกจ่ายประชาชนแล้ว 274,923 ชิ้น เร่งผลิตให้ครบ 50 ล้านชิ้น แจกประชาชนในชุมชนต่างๆ อย่างทั่วถึง 

นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ความคืบหน้าโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการจัดทำหน้ากากอนามัย เพื่อการป้องกันตนเอง ของกระทรวงมหาดไทยตามข้อมูล ณ วันที่ 11  มีนาคม 2563 ว่า ได้มีจัดอบรมบุคลากรโครงการ ครู ก. แล้ว 200,100 คน เพื่อเป็นวิทยากรเผยแพร่การทำหน้ากากผ้า และทยอยแจกจ่ายหน้ากากผ้าไปแล้ว 274,923 ชิ้น  

นฤมล กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยประสานองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศกว่า 7,000 แห่ง เร่งผลิตหน้ากากผ้าให้ครบ 50 ล้าน เพื่อแจกฟรีให้กับพี่น้องประชาชนในชุมชนต่างๆ อย่างทั่วถึง สำหรับประชาชนที่สนใจ ยังสามารถเรียนรู้การทำหน้ากากผ้าไว้ใช้เองได้กับเจ้าหน้าที่ อสม.หรือผู้ที่ผ่านการอบรม เพื่อจะได้มีหน้ากากผ้าตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขเป็นของตัวเอง (ที่มา: สำนักข่าวไทย)

กระทรวงการต่างประเทศประสานสถานทูตไทยในอิหร่าน-อิตาลี ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างใกล้ชิด พร้อมให้ข้อมูลคนไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขการเข้า-ออกประเทศ 

เชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า วานนี้ (11 มี.ค.) กระทรวงการต่างประเทศเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมหารือในกรอบคณะทำงานศูนย์ประสานงานฉุกเฉิน (Rapid Response Center  - RRC)  มี นายธนา เวสโกสิทธิ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน เพื่อเตรียมการให้ความช่วยเหลือคนไทยในอิหร่านและอิตาลี จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

เชิดเกียรติ  กล่าวว่า  กรณีคนไทยในอิหร่าน มีอยู่ประมาณ 300 คน  สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน ได้ประสานกับกลุ่มคนไทยกลุ่มต่างๆ อย่างใกล้ชิด  ปัจจุบันยังไม่มีการปิดเส้นทางคมนาคมเข้า-ออกอิหร่านมายังไทย คนไทยในอิหร่านยังสามารถเดินทางออกจากอิหร่านได้ตามปกติ ที่ประชุมจึงได้ขอให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือคนไทยกรณีสถานการณ์เลวร้ายลง รวมทั้ง แจ้งมาตรการของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ที่กำหนดเงื่อนไขต้องแสดงใบรับรองแพทย์ ยืนยันว่าผู้โดยสารไม่มีความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ก่อนขึ้นเครื่องด้วย

เชิดเกียรติ กล่าวว่า  กรณีอิตาลี  มีชุมชนไทยในอิตาลีมีประมาณ 7,000 คน  ปัจจุบัน ทางการอิตาลีได้ประกาศให้อิตาลีเป็นพื้นที่ควบคุมทั่วประเทศ จึงทำให้ประชาชนทุกคน รวมทั้ง คนไทย  สามารถเดินทางระหว่างเมือง หรือเดินทางออกจากอิตาลีไปต่างประเทศได้ เฉพาะกลุ่มที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับเงื่อนไขที่ทางการอิตาลีกำหนด เช่น เหตุผลด้านสุขภาพ การเดินทางกลับภูมิลำเนา การเดินทางกรณีฉุกเฉิน ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม จะประสานให้คนไทยในอิตาลีรับทราบข้อมูลดังกล่าวต่อไป (ที่มา: สำนักข่าวไทย)

โฆษกรัฐบาล ระบุยังไม่ปิดศูนย์กักผีน้อยสัตหีบ เก็บเป็นที่พักสำรองกรณีพื้นที่ไม่พอ ชาวบ้านต่อต้าน ย้ำไม่สับสนที่ มท.1 แถลงก่อนหน้า แค่แจงเพิ่มเติม   

นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกรณีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยระบุจะปิดศูนย์กักกันโรคที่อ่าวดงตาล ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี ว่า ยังไม่ปิดศูนย์ดังกล่าว เพื่อรับรองผู้ที่ไม่มีสถานกักกันโรค และสังคมหรือหมู่บ้านที่ไม่มีความพร้อม เนื่องจากความวิตกกังวลหรือถูกต่อต้านจากคนในพื้นที่  ยืนยันทุกขั้นตอนกระบวนการส่งกลับจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข และผู้ที่เดินทางเข้ามาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงจะทยอยเข้ามาในประเทศไทย และจะต้องเข้ากักกันในพื้นที่ตนเอง

ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเรื่องการสื่อสารข้อมูลไม่ตรงกัน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นการชี้แจงเพิ่มเติมจากที่พล.อ.อนุพงษ์ชี้แจงก่อนหน้านี้ เนื่องจากข้อมูลบางส่วนอาจสับสนกับมาตรการของรัฐ โดยเฉพาะเรื่องการปิดศูนย์กักกันโรค ซึ่งยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอน โดยมีกระทรวงคมนาคมเข้ามาดำเนินการเรื่องการเดินทางกลับภูมิลำเนา 

“ศูนย์บริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน จะออกมาตรการเข้มข้นเพิ่มขึ้น หลังจากที่วานนี้(11 มี.ค.) ยกเลิก Visa On arrival และฟรีวีซ่า ทำให้โอกาสคนเดินทางเข้ามาในประเทศไทยน้อยลง ซึ่งผู้ที่เดินทางเข้ามาต้องมีใบรับรองแพทย์ยืนยันเป็นเวลา 3 วัน เมื่อถึงไทยต้องผ่ายการคัดกรองที่สนามบิน หากมีอาการไข้จะถูกส่งเข้าสถานพยาบาลทันที ส่วนผู้ที่ไม่มีไข้ให้กักกันที่บ้าน โดยมีเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ดูแลเข้มงวด” นฤมล กล่าว

ส่วนกรณียกเลิกวีซ่า Visa On arrival โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศรัสเซียไม่ได้ร่วมอยู่ใน 18 ประเทศ เนื่องจากมีข้อตกลงทวิภาคีร่วมกัน (ที่มา: สำนักข่าวไทย)

ประยุทธ์  เรียก "ดอน-อนุทิน" หารือปัญหายกเลิก Free Visa - VOA ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 หลังพบยังไม่สามารถทำได้กับบางประเทศ เนื่องจากติดขัดกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่ อธิบดีกรมการกงสุล ยืนยันยังไม่มีผลบังคับใช้ 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชิญนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  นายชาตรี อรรจนานันท์ อธิบดีกรมการกงสุล และ ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าหารือ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำนียบรัฐบาล  คาดว่าจะเป็นการหารือความชัดมาตรการประกาศยกเลิกชั่วคราว การตรวจลงตรา ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival – VOA) l ใน 17 ประเทศ 1 เขตเศรษฐกิจ และการยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ Visa free ของประเทศมีความเสี่ยงสูง  ได้แก่ เกาหลีใต้ ฮ่องกง และอิตาลี จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติ หลังจากในทางปฏิบัติยังไม่สามารถดำเนินการ ด้วยอาจติดขัดข้อกฎหมายบางประการ และความตกลงระหว่างประเทศ 

ชาตรี เปิดเผยภายหลังเข้าพบนายกรัฐมนตรี ว่า มาตรการยกเลิกวีซ่าที่ออกมาของรัฐบาล เมื่อวานนี้ (11 มี.ค.) ขอยืนยันว่ายังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ แม้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จะมีมติออกมาแล้ว ยังคงต้องทำตามขั้นตอน โดยจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี วันที่ 17 มีนาคม นี้ โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม Visa free ซึ่งเป็นมาตรการที่ไทยให้แต่ฝ่ายเดียว เพราะการให้หรือยกเลิกจะสามารถทำได้ทันที เมื่อต้องมีมาตรการคัดกรองโรคอย่างเข้มงวด เช่นเดียวกับ 80 ประเทศที่ทำในลักษณะเดียวกัน ส่วนประเทศที่ยังมีเรื่องความตกลงระหว่างกัน เช่น  เกาหลีใต้ ฮ่องกง และรัสเซีย ยังคงต้องกลับมาศึกษารายละเอียดขั้นตอนปฎิบัติให้รอบคอบก่อน ไม่สามารถสรุปได้ว่าจะอยู่ในเงื่อนไขการยกเลิกการตรวจลงตราครั้งนี้ด้วยหรือไม่ (ที่มา: สำนักข่าวไทย)

 พล.อ.อนุพงษ์ แจงยกเลิกฟรีวีซ่า และ Visa on Arrival ( voa) ใน 18 ประเทศ มีผลพรุ่งนี้ (13 มี.ค.) ถึง 30 ก.ย. ยันไม่ได้ห้ามเข้าประเทศ แต่ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19  ยังไม่ปิดศูนย์กักตัวทั่วประเทศ ปรับวิธีควบคุมที่บ้าน มั่นใจมีประสิทธิภาพ ขณะที่รัฐมนตรี ดีอีเอส เปิดตัวติดตามผู้ที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง 

ทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ กล่าวถึงการเตรียมแถลงข่าวของศูนย์ข้อมูลมาตราการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อโควิด-19 กล่าวว่า  รัฐบาลอยากให้เกิดความมั่นใจกับประชาชนในการดูแลป้องกันของคนที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะต้องขอวีซ่าและมีใบรับรองแพทย์ จึงจะเข้าประเทศไทยได้ ส่วนประเทศที่เหลือที่ไม่ได้เป็นประเทศกลุ่มเสี่ยง ก็จะมีมาตรการคัดกรองตามขั้นตอน ซึ่งมั่นใจในมาตรฐานได้ หากพบว่าป่วยจะถูกแยกตัวไปตรวจที่โรงพยาบาล 

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง  14 วัน จะต้องให้กำลังใจและให้ความรักคนที่ทุกกักตัว ให้ผ่านไปได้ด้วยเช่นกัน อยากให้ผู้ที่อยู่ระหว่างเฝ้าอาการหรือถูกกักกันโรค ให้มีความรับผิดชอบ ไม่ออกไปนอกพื้นที่กักตัว อยากให้คิดว่าไม่ใช่คนป่วย แต่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงมาก หากปกปิดข้อมูลจะมีความผิดตามกฎหมายพ.ร.บ.ควบคุมโรค

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ไม่มีการปิดศูนย์ดูแลสุขภาพผู้มีความเสี่ยง หรือศูนย์กักตัวทั่วประเทศ เป็นเพียงการเปลี่ยนวิธีการควบคุมตัว ให้ผู้ที่สังเกตอาการไปอยู่ที่ภูมิลำเนา  เมื่อวานนี้ตนสื่อสารผิดพลาด และขณะนี้ผู้ที่อยู่ในศูนย์กักตัว ก็ได้ทยอยนำส่งกลับภูมิลำเนาแล้ว และศูนย์กักตัวยังคงมีไว้เตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในอนาคต ในแต่ละพื้นที่มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่น รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เข้าไปดูแล รวมถึงใช้วิธีการให้ชุมชุนดูแลกันเอง และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ ตามแนวทางของกระทรวงสาธารสุข ขอให้มั่นใจว่าการกักตัวอยู่ที่บ้าน เป็นวิธีที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพ 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังกล่าวถึงการยกเลิกฟรีวีซ่า ใน 3 ประเทศ คือเกาหลีใต้ ฮ่องกง และ อิตาลี และยกเลิกการตรวจลงตราหรือ Visa on Arrival  หรือ voa ใน 18 ประเทศ  เพื่อเป็นมาตรการลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ไม่ได้ยกเลิกให้เดินทางเข้าประเทศไทย  เพียงแต่เข้าสู่การขอวีซ่าตามขั้นตอน ต้องไปขอ วีซ่าที่สถานทูตไทยก่อน  โดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีการประสานให้ผู้ที่จะเดินทางมาไทย อยู่ในประเทศต้นทางก่อน 14 วัน เหมือนกับกรณีผู้ที่เดินทางมาจาก 4 ประเทศกลุ่มเสี่ยง การยกเลิกฟรีวีซ่า และ voa จะมีผลตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม - 30 กันยายน 2563 ลงนามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่ออันตราย

ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า กระทรวงได้ร่วมกับน้อง ๆ กลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงดิจิทัลสตาร์ทอัพ สัญชาติไทย ภายใต้ชื่อว่า ThaiFightCOVID โดยจัดทำแอฟพลิเคชั่น “AOT Airports” มาใช้ สำหรับเก็บข้อมูลบุคคลทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ หรือนักท่องเที่ยว ที่เดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรไทย ที่จะถูกติดตาม โดยใช้มือถือในการเข้าไปโหลดแอฟพลิเคชั่นดังกล่าว ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และความมั่นใจให้กับภาคประชาชน เพื่อรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ  กล่าวว่า ผู้โดยสารที่เป็นลูกค้าของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังจากที่ผ่านจุดคัดกรอง จะมีบาร์โค๊ดให้ใช้โทรศัพท์มือถือสแกนเพื่อโหลด เมื่อโหลดเสร็จ ให้ถ่ายบอร์ดดิ้งพาส ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว และบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ต ใช้เวลาประมาณ 2 นาที เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะเป็นผู้ตรวจสอบว่ามีการโหลดแอฟพลิเคชั่นนี้มาแล้วหรือไม่ และได้กรอกข้อมูลส่วนตัวครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ เมื่อนั้นถึงจะอนุญาตให้เข้าประเทศ ส่วนผู้ที่ไม่มีซิมการ์ด สามารถซื้อซิมการ์ดจากผู้ให้บริการที่วางจำหน่าย ณ จุดวัดอุณหภูมิ ในราคา 49 บาท ใช้ซิมได้ 14 วัน ซื้อได้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ

พุทธิพงษ์ กล่าวว่า ข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมไว้ที่กรมควบคุมโรค  เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ โควิด -19 และหากพบว่ามีการติดเชื้อภายหลังผ่านเข้าประเทศแล้ว  กรมควบคุมโรคจะแจ้งให้ กสทช. และผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รับทราบ ก่อนติดตามพิกัดของผู้ป่วยและผู้ที่เดินทางร่วมกันได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ 14 วันเท่านั้น จากนั้นข้อมูลจะถูกลบไป ตามพ.ร.บ.คุ้มครองส่วนบุคคลและสากล 

“แอพพลิเคชั่น ดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวตนอย่างเรียลไทม์ ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ติดตาม คัดกรอง และจำกัดพื้นที่ เป็นการสร้างสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง หากพบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวนานจนผิดปกติจะส่งเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรค ,มหาดไทย และตำรวจ จะลงไปตรวจสอบในทันที”พุทธิพงษ์ กล่าว

พุทธิพงษ์ กล่าวว่า ระบบแอพพลิเคชั่นดังกล่าวจะมีการป้องกัน Fake GPS มีการล็อคระบบไม่สามารถเคลื่อนย้าย GPS ได้ตามใจชอบ เหมือนการแชร์โลเคชั่นในแอพพลิเคชั่นไลน์  หากปิดบังข้อมูลจะมีความผิด รวมถึงหากเปลี่ยนพิกัดติดตามตัวก็จะมีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน รวมถึงหากพบการละเลย เพิกเฉย ความรับผิดชอบต่อสังคม ในกรณีต่าง ๆ ก็จะมีโทษตามพ.ร.บ.ควบคุมโรค ขอความร่วมมือจากกลุ่มเสี่ยงลดผลกระทบ ร่วมมือก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามแอฟพลิเคชั่นอาจไม่ได้ตอบโจทย์ทุกอย่าง แต่มีหน้าที่ช่วยสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ  เมื่อเช้าได้ไปดูมาแล้วที่สนามบิน พบว่ามีคนโหลดแอฟพลิเคชั่นนี้แล้ว และได้กรอกข้อมูล โดยใช้เวลาประมาณ 2 นาที

พุทธิพงษ์ กล่าวถึงกรณีผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ต้องกลับไปกักตัวที่บ้าน หรือภูมิลำเนา ว่า ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จะมีคิวอาร์โค้ดศูนย์กลาง และคิวอาร์โค้ดสำหรับ 50 เขต และ 76 จังหวัดทั่วประเทศให้ดาวน์โหลด โดยทุกคนต้องดาวน์โหลด เพื่อให้ติดตามตัวจากการแสดงตัวตนที่อยู่ตามภูมิลำเนา ของตัวเองก่อนออกจากศูนย์กักกัน เพื่อคอยตรวจสอบพฤติกรรมประจำวันว่ากักกันตัวเองตามระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ โดยแอพพลิเคชันนี้จะทำงานควบคู่กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดที่จะคอยดูแลอย่างใกล้ชิดและหากผู้ใดฝ่าฝืนจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป (ที่มา: สำนักข่าวไทย)

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net