Skip to main content
sharethis

'ธนาธร' ไลฟ์โชว์วิสัยทัศน์สู้ไวรัส “โควิด-19”  วิเคราะห์แบบจำลองอนาคต - รับสถานการณ์เลวร้ายสุด หนุนใช้มาตรการหลีกเลี่ยงการพบปะ จี้รัฐดูแลผู้มีรายได้น้อย - เปิดข้อมูลให้ ปชช. เตรียมรับมือ

17 มี.ค.2563 ทีมสื่อคณะอนาคตใหม่ รายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลา 21.30 น. ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไลฟ์ผ่านเพจเฟซบุ๊กสื่อสารกับผู้ติดตามรับชม กรณีการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 โดยระบุว่า วันนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทาย ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19  ใน 100 ปีจะมีสักครั้งหนึ่ง เราเห็นการเกิดขึ้นของไวรัสนี้เริ่มต้นจากประเทศจีน แล้วแพร่กระจายไปยังประเทศเกาหลี แพร่กระจายไปยังทวีปยุโรป แพร่กระจายไปยังอิหร่าน และแน่นอนที่สุด ก็เข้ามาถึงประเทศไทย มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องสื่อสารและพูดจากันอย่างตรงไปตรงมา ถึงการแก้ไขปัญหาและการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัส นี่เป็นความท้าทายที่ไม่ใช่แค่ของรัฐบาลไทย แต่เป็นความท้าทายของผู้คนในสังคมทุกคน 

“ก่อนที่จะพูดถึงการรับมือของการการแพร่ระบาดไว้รัส ขอให้กำลังใจ กับครอบครัวของผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัว ที่ได้รับไวรัส โควิด-19 ขอให้ทุกท่านเข้มแข็งและก็มีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้ายนี้ และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกท่านที่กำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างเต็มที่ ทุกท่านมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทย ไม่ถลำลึกไปในระยะการแพร่ระบาดที่หนักหนาสาหัสกว่านี้” ธนาธร กล่าว

วิเคราะห์แบบจำลองอนาคต - เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์เลวร้ายสุด

ธนาธร กล่าวอีกว่า ข้อมูลในเชิงวิทยาศาสตร์จากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขได้จำลองแบบอนาคตขึ้นมา  3 แบบด้วยกัน แบบแรก คือแบบที่เลวร้ายที่สุด แบบที่ 2 คือแบบความเลวร้ายปานกลาง และแบบสุดท้าย คือ แบบการรับมือที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในกรณีที่เลวร้ายที่สุด จากการประเมินของกระทรวงสาธารณสุข คนหนึ่งคนจะทำให้เกิดผู้ป่วยอีก 2.2 คน ดังนั้น ภายใน 1 ปี เราจะมีผู้ป่วย 16.7 ล้านคน ทั้งนี้ ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ฉับพลันอีกด้วย การเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ฉับพลัน และตัวเลขที่สูงขนาดนี้ จะทำให้เกิดความตึงเครียดในระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งตนไม่คิดว่าระบบสาธารณสุข อย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบันจะสามารถรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ ในสถานการณ์แบบที่ 2 คือสถานการณ์แบบปานกลาง อาจมีผู้ป่วยได้มากถึง 9.9 ล้านคน ภายใน 2 ปี และลำดับสุดท้าย ในสถานการณ์ที่มีการรับมือแบบมีประสิทธิภาพ เราอาจจะมีผู้ป่วยประมาณ 4 แสนคนคน ภายใน 2 ปี เราจะเห็นถึงความแตกต่างของจำนวนผู้ป่วย ขึ้นอยู่กับว่าคนในสังคมรับมือกันอย่างร่วมแรงร่วมใจมากน้อยเพียงใด 

“ในกรณีที่รุนแรงที่สุด เดือนที่เกิดการแพร่ระบาดสูงสุด ก็คือเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน ของปี 2563 ซึ่งผู้ป่วยต่อสัปดาห์สูงสุดอยู่ที่ 1.5 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่มหาศาลมาก และจากข้อมูลทางการแพทย์ ขององค์การอนามัยโลกระบุไว้ว่า 20% ของจำนวนนี้ อาจจะเป็นผู้ป่วยที่ต้องรักษาอยู่ในสถานพยาบาล ซึ่ง 20%  ของ 1.5 ล้านคน คือ 3 แสนคน หมายความว่าหากเกิดสถานการณ์ความรุนแรงที่สุดขึ้น เราจำเป็นจะต้องมีทรัพยากรเพียงพอ ที่จะดูแลผู้ป่วยเฉพาะโควิด-19 ในระบบสาธารณสุขไทยถึง 3 แสนคน ไม่ใช่แค่เฉพาะเตียง เรากำลังพูดถึงเครื่องช่วยหายใจ เรากำลังพูดถึงหน้ากาก ถุงมือ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ เรากำลังพูดถึงพื้นที่ที่เพียงพอ เรากำลังพูดถึงยารักษาโรคที่เพียงพอ สิ่งต่างๆเหล่านี้ จะต้องเตรียมการในเวลาอันใกล้ ซึ่งอีกเพียง 6 เดือนเท่านั้นเอง จะถึงจุดสูงสุดในสถานการณ์ที่อาจจะเลวร้ายที่สุด ผมไม่คิดว่าเราจะมีประสิทธิภาพ และศักยภาพเพียงพอที่จะจัดการกับมัน" ธนาธร กล่าว 

หนุนใช้มาตรการหลีกเลี่ยงการพบปะ - ยกแบบจำลองคอมพิวเตอร์เห็นภาพชัด

ธนาธร กล่าวต่อว่า สิ่งที่เราต้องทำและร่วมมือกัน คือการชะลอการแพร่ระบาด​ไวรัสโควิด-19 ซึ่งหากเราสามารถชะลอได้ เดือนที่จะมีการแพร่ระบาด​สูงที่สุดคือเดือนมกราคม​และ​กุมภาพันธ์​ ปี 2564 หรืออาจมองได้ว่ามีเวลาเตรียม​การอีก 10 เดือน และจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดต่อสัปดาห์​ แทนที่จะเป็น 1.5 ล้านคน ในแบบจำลอง จะเหลือพียงแค่ 480,000 คนต่อสัปดาห์​ ซึ่งจะมีผู้ป่วยที่ต้องรักษาอยู่ในสถานพยาบาลเหลือเพียง 100,000 ราย จะเห็นได้ว่าเราจะมีศักยภาพรับมือกับสถานการณ์​เหล่านี้ได้ดีขึ้น หากคนในสังคมร่วมมือกันชะลอการแพร่ระบาด​ไวรัส โควิด-19 ได้

ธนาธร ยังได้ยกตัวอย่างแบบจำลองด้วยคอมพิวเตอร์​โดยวอชิงตัน​โพส ที่มี 3 แบบด้วยกัน ซึ่งมีความคล้ายกับโมเดลของกระทรวงสาธารณสุข​ที่ได้นำเสนอไป โดยมาตรการที่ดีที่สุดนั้น คือมาตรการ​ social distancing หรือมาตรการ​ที่ส่งเสริมให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการพบปะกัน  เป็นมาตรการแก้ไขปัญหา​ได้ดีที่สุด  ซึ่งจากการคำนวนของคอมพิวเตอร์​ ผลลัพธ์​ที่ออกมานั้นลดการติดเชื้อ​ได้เป็นจำนวนมาก และอัตรา​ที่ประชาชนจะไม่ติดเชื้อเลยจะสูงมากยิ่งขึ้น สำหรับมาตรการหลีกเลี่ยงการพบปะคนในสังคม   อย่างแรกที่สุดเริ่มต้นที่ตัวเราเอง ไม่เดินทางออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น​ หลีกเลี่ยงเข้าร่วมประชุม ไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมที่มีผู้คนรวมกันมากกว่า 10 คน ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน​ งานศพ หรืองานรื่นเริง​สังสรรค์​ทางสังคม แม้แต่เวลารับประทาน​อาหาร อาจจะต้องพิถีพิถัน​มากขึ้นกว่าเดิม อาจต้องมีสำรับตัวเอง หากต้องพูดคุยกับคนในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน​ ให้เว้นระยะ​ห่างในการพูดคุย ไม่ยืนพูดคุยกันอย่างใกล้ชิดจนเกินไป ล้างมือให้บ่อย ทำความสะอาด​ภาชนะ​ที่ใช้ดื่มใช้กินเป็นประจำ ไม่เดินทางออกนอกถิ่นฐาน ถ้าเราช่วยกันทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็จะทำให้อัตรา​การแพร่ระบาด​ไวรัส โควิด-19 ลดน้อยลง และเราสามารถที่จะทำให้เกิดสถานการณ์​เช่นนี้ได้ พวกเราร่วมมือกัน

การหลีกเลี่ยงพบปะมีต้นทุน - รัฐบาลต้องดูแลผู้มีรายได้น้อย 

ธนาธร กล่าวว่า มาตรการ​การหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คน ควรจะต้องดำเนิน​ไปพร้อมกับมาตรการการเยียวยา เรามีต้นทุนการหลีกเลี่ยงพบปะกับผู้คน มันมีต้นทุนของการไม่ออกไปทำงาน และในสังคมเราคนที่แบกรับต้นทุนส่วนใหญ่และหนักหนาสาหัส​ ก็คือกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย รัฐบาล​จำเป็นจะต้องออกมาตรการเยียวยากับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย เพื่อให้เขากระทำมาตรการหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ กลุ่มคนรายได้น้อยมักหลายคนอาจไมอยากไปตรวจ หรือจะไม่แสดงตัวเพื่อให้จะได้ไม่ต้องถูกหยุดงาน ดังนั้น รัฐบาล​ต้องมีมาตรการให้กลุ่มคนรายได้น้อยแสดงตัวได้อย่างไม่มีต้นทุน ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เข้าสู่ระบบสาธารณสุข​ได้อย่างต้นทุนน้อยที่สุด

ชี้รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลตรงไปตรงมา - เพื่อให้ ปชช.เตรียมพร้อมรับมือ

ธนาธร กล่าวว่า มาตรการที่ตนได้กล่าวไปนั้น เพื่อเป็นการยับยั้งไม่ให้จากระยะที่ 2 ไปสู่การแพร่ระบาด​ระยะที่ 3 ซึ่งการแพร่ระบาด​ระยะที่ 3 หมายความว่า มีการแพร่ระบาดในท้องถิ่นนั้นๆ และเกินกำลังที่รัฐจะสามารถเข้าไปควบคุมการแพร่ระบาด​ได้ ซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์เลวร้ายสุด เราในฐานะเพื่อนร่วมสังคม เราต้องมีวินัยในการรับผิดชอบคนในสังคม รับผิดชอบต่อคนที่เรารัก รับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมงาน และรับผิดชอบต่อครอบครัว เราสามารถเริ่มต้นมาตรการหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้คนด้วยตัวของเราเองได้ และถ้าเราช่วยกัน เราจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์​ที่เลวร้ายที่สุดได้

“แม้ประชาชนร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ก็ยังมีโอกาสที่ทำให้การแพร่เชื้อ​ไวรัสเข้าสู่ระยะที่ 3 หากเกิดเหตุ​การณ์​เช่นนั้นจริง ซึ่งเราเห็นตัวอย่างแล้วในประเทศแถบตะวันตก​ ที่จะใช้มาตรการหลักเลี่ยงการพบปะอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการประกาศภาวะฉุกเฉิน​ ไม่ว่าจะเป็นการปิดสถานที่ หยุดการขนส่งสาธารณะ​ ซึ่งมาตรการ​เหล่านี้​ยังไม่เคยถูกบังคับใช้อย่างเข้มงวดในประเทศไทย และเราหวังว่าจะไม่เดินไปสู่จุดนั้น แต่ถ้าจุดนั้นมาถึงจริงๆ คิดว่า คงเป็นเวลาที่จะต้องบอกประชาชนอย่างตรงไปตรงมา​ ให้เข้าใจ รับรู้ ไม่ตื่นตระหนก และเพื่อเตรียมพร้อมรบมาตรการ​ต่างๆเหล่านี้ ซึ่งจะกระทบกับพวกเราทุกคน” ธนาธร กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net