Skip to main content
sharethis

สภาสิทธิแรงงานนานาชาติไอแอลอาร์เอฟ (ILRF )เรียกร้องสิทธิในการรวมตัวของแรงงานข้ามชาติเพื่อยุติปัญหา การใช้แรงงานบังคับในภาคอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย

21 มี.ค.2563 เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา สภาสิทธิแรงงานนานาชาติไอแอลอาร์เอฟ (International Labour Rights Forum, ILRF) ออกมาเรียกร้องให้ รัฐบาลไทย บริษัทอาหารทะเลต่างๆ และผู้ซื้อในระดับโลก รับรองสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการรวมตัวและการร่วม เจรจาต่อรองของแรงงานข้ามชาติเพื่อยุติปัญหาการใช้แรงงานบังคับที่แพร่หลายในภาคอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย พร้อมรายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่ออกมาในวันดังกล่าวด้วย

“การจัดให้แรงงานข้ามชาติมีสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง อันเป็นสิทธิที่ยอมรับใน ระดับสากล มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการจัดการกับต้นตอสาเหตุที่ซ่อนเร้นในปัญหาการใช้แรงงานบังคับ สิทธิขั้นพื้นฐานเหล่านี้จะทำให้แรงงานสามารถแก้ไขปัญหาอำนาจที่ไม่เท่าเทียม ที่อนุญาตให้นายจ้างและนายหน้าจัดหางานที่มักเอาเปรียบ สามารถกักขังคนงานและใช้ประโยชน์จากแรงงานได้” คิมเบอร์ลี่ โรโกวิน ผู้ประสานงานการ รณรงค์ด้านอาหารทะเลอาวุโส และผู้เขียนรายงาน กล่าว

รายงานฉบับที่ชื่อว่า 'ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงแบบไพศาล : เหตุใดแรงงานข้ามชาติจึง ต้องมีสิทธิด้านสหภาพแรงงานเพื่อป้องกันการ ใช้แรงงานบังคับในอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทย' (หรือ TIME FOR A SEA CHANGE Why union rights for migrant workers are needed to prevent forced labor in the Thai seafood industry.) ชี้ระบุประเด็นปัญหาหลักๆ ที่ ห้ามไม่ให้แรงงานข้ามชาติจัดการ กับการละเมิดสิทธิแรงงานด้วยตนเอง โดยประเด็นที่สำคัญที่สุดคือการที่แรงงานข้ามชาติถูกห้ามโดยกฎหมายไทย ไม่ให้จัดตั้งสหภาพแรงงานของตนเอง หรือ ทำหน้าที่เป็นผู้นำสหภาพ ทั้งนี้ แรงงานส่วนใหญ่ในภาคอุตสาหกรรม อาหารทะเลเป็นแรงงานข้ามชาติการปฏิเสธสิทธิเหล่านี้ จึงเป็นการห้ามไม่ให้แรงงานส่วนใหญ่เข้าเจรจาเพื่อ ต่อรองเรื่องค่าจ้างและสภาพการทำงาน รวมไปถึงการชดเชยจากการถูกละเมิดต่าง ๆ ที่ดีขึ้น พวกเขายังขาดการเข้าถึงกลไกการร้องทุกข์ของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพและยังถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาหมิ่นประมาทเมื่อรายงานว่ามี การละเมิดสิทธิเกิดขึ้น

การผงาดขึ้นของประเทศไทยในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลกได้สร้างความต้องการอย่างมาก สำหรับแรงงานราคาถูกเพื่อมาทำงานในภาคประมงและการแปรรูปอาหารทะเล โดยเป็นแรงงานข้ามชาติหลาย แสนคนจากประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการนี้

การทำงานในการประมงพาณิชย์และการแปรรูปอาหารทะเลเป็นหนึ่งในอาชีพที่อันตรายที่สุดและมีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบมากที่สุดทั่วโลก โดยจะเห็นได้จากการเปิดโปงต่าง ๆ จากนักข่าวสืบสวนและกลุ่มเอ็นจีโอต่าง ๆ ที่เก็บบันทึกข้อมูลไว้ตั้งแต่ปี 2547 เกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์และการใช้แรงงานบังคับในแรงงานข้ามชาติ ในภาคประมงและการแปรรูปอาหารทะเล

ถึงแม้จะมีการปฏิรูปและมาตรการต่าง ๆจากรัฐบาลไทย ปัญหาการใช้แรงงานบังคับยังคงพบได้อย่างแพร่หลาย คณะทำงานอาหารทะเล (The Seafood Working Group) เครือข่ายพันธมิตรระดับโลกนำโดย ไอแอลอาร์เอฟ ได้บันทึกรวบรวมการละเมิดสิทธิแรงงานอย่างรุนแรงในภาคประมงและภาคอื่น ๆ ในปี 2562 และได้ออกมาเรียกร้องให้กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาลดอันดับประเทศไทยลงในรายงานการค้ามนุษย์ประจำปี 2563 ในรายงานฉบับล่าสุดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศยังแสดงให้เห็นว่าการใช้แรงงานบังคับยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง โดยร้อยละ 14 ของแรงงานประมงและร้อยละ 7 ของแรงงานแปรรูปอาหารทะเลที่ให้สัมภาษณ์ตกอยู่ใน สภาพการถูกบังคับใช้แรงงาน

บริษัทไทยต่าง ๆ และผู้ซื้อปลาและอาหารทะเลในระดับโลกยังล้มเหลวในการเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานของคนงาน แม้จะมีพันธกรณีภายใต้หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights (UNGP) บริษัทอาหารทะเลต่าง ๆ ยังปฏิเสธที่จะเจรจาต่อรองร่วมกับกลุ่มตัวแทนแรงงานข้ามชาติที่จัดตั้งขึ้นภายในสถานประกอบการของตน แต่กลับสนับสนุนให้ลูกจ้างเข้าร่วมใน คณะกรรมการสวัสดิการแทน ซึ่งไม่ได้ให้การคุ้มครองทางกฎหมายที่เหมือน หรือบรรลุผลในข้อตกลงที่บังคับใช้ได้ ในรูปแบบเดียวกับสหภาพและการเจรจาต่อรองร่วม

แรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมอาหารทะเลไทยได้เข้าร่วมพยายามอย่างเข้มข้นในการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการรวมตัวและร่วมเจรจาต่อรอง ด้วยความสนับสนุนจากสหภาพแรงงานไทย องค์กรแรงงานข้ามชาติสมาพันธ์ แรงงานระดับโลก และตัวแสดงอื่น ๆ โดยมีข้อมูลที่ได้แสดงในรายงานฉบับนี้ได้แก่ เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงาน ประมงอันเป็นองค์กรตัวแทนแรงงานประมงข้ามชาติกว่า 2,000 คน ที่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยเพื่อปรับปรุง เรื่องค่าจ้างและสภาพการทำงาน และกลุ่มคนงานอาหารทะเลภาคใต้อันเป็นองค์กรของแรงงานมากกว่า 200 คน ในห้าโรงงานแปรรูปอาหารทะเล

การละเมิดสิทธิแรงงาน รวมถึงการละเมิดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการรวมตัวและร่วมเจรจาต่อรอง ส่งผลให้รัฐบาล สหรัฐฯประกาศระงับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร คิดเป็นมูลค่ารวม 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 39,000 ล้านบาท เมื่อเดือน ตุลาคม 2562 ภายใต้ข้อตกลงตามมาตรการสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี)

“ประเทศไทยได้ทำลายความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป รวมไปถึงชื่อเสียงของตนใน ระบบเศรษฐกิจโลก การโดนระงับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรภายใต้ข้อตกลงจีเอสพีของสหรัฐทำให้ประเทศไทย เสี่ยงต่อความสูญเสียเพิ่มเติมกับธุรกิจและเศรษฐกิจไทย หากยังคงไม่เริ่มการปฏิรูปที่เป็นผลที่ต้องเริ่มจากการให้ สิทธิในการรวมตัวกับแรงงานข้ามชาติ” โรโกวิน กล่าว

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net