Skip to main content
sharethis

ประกันสังคมขอให้นายจ้างที่สั่งไม่ให้ลูกจ้างทำงานเพราะเหตุสุดวิสัยหรือกรณีนายจ้างถูกรัฐมีคำสั่งหยุดสถานประกอบกิจการ เร่งส่งหนังสือรับรองการหยุดงานของลูกจ้าง ขณะที่ สปสช. เผย วิกฤต COVID-19 ทำผู้ป่วยสมัครร่วม “โครงการรับยาใกล้บ้าน” เพิ่มมากขึ้น ด้านนครรังสิตใช้ 'กองทุนสุขภาพตำบล' หนุนเสริมงานป้องกันการแพร่ระบาด

7 เม.ย. 2563 ศูนย์สารนิเทศ สำนักงานประกันสังคม รายงานว่า นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานเนื่องจาก เหตุสุดวิสัย กรณีผู้ประกันตนไม่ได้ทำงานหรือนายจ้างไม่ให้ทำงานกักตัว 14 วัน เนื่องจากสัมผัสหรือใกล้ชิด ผู้ติดเชื้อโควิด-19 และกรณีหน่วยงานภาครัฐมีคำสั่งให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ ทั้ง 2 กรณี สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 62 ของค่าจ้างรายวันให้รับตลอดระยะเวลาที่หยุดงาน ทั้งนี้ให้รับไม่เกิน 90 วัน โดยสำนักงานฯ เปิดช่องทางให้บริการขอรับสิทธิประโยชน์ว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัยเพื่อรองรับมาตรการดังกล่าวเป็นการเฉพาะ โดยผู้ประกันตนจะต้องยื่นขอรับสิทธิและนายจ้างมีหน้าที่รับรองการหยุดงานของลูกจ้างอันเนื่องจากเหตุสุดวิสัยผ่าน e-form บนหน้าเว็บไซต์ www.sso.go.th ผลปรากฏมีผู้ประกันตน ยื่นขอรับสิทธิเป็นจำนวนมากแต่ยังขาดนายจ้างรับรองการหยุดงานดังกล่าว

โดนยปัจจุบันมีผู้ประกันตนยื่นคำขอผ่านทาง e- form จำนวนกว่า 300,000 ราย และมีนายจ้างยื่นการรับรองผ่านทาง e-form จำนวนเพียงกว่า 30,000 ราย เมื่อเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเพื่อจะสามารถทำการจ่ายเงินได้ทันทีเมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับ แต่พบว่านายจ้างส่วนใหญ่ ยังไม่ยื่นการรับรองการหยุดงานของลูกจ้างอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย ดังนั้นขอให้นายจ้างในกลุ่มดังกล่าว เร่งยื่นรับรองการหยุดงานของลูกจ้างอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัยผ่านช่องทาง e-form บนหน้าเว็บไซต์ www.sso.go.th โดยเร็วเพื่อประโยชน์แก่ตัวของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้นเอง

ทั้งนี้ ในการยื่นรับรองการหยุดงานของลูกจ้างอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย นายจ้างเพียงระบุ วันที่หยุดงาน และวันที่ครบกำหนด โดยยื่นแบบทาง e-Form บนหน้าเว็บไซต์ www.sso.go.th สำนักงานประกันสังคมจะตอบยืนยันการรับข้อมูลของนายจ้างผ่านทาง e-mail ที่นายจ้างได้แจ้งไว้ ขณะนี้มีผู้ประกันตนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมากจึงขอความร่วมมือให้ทุกภาคส่วนทำหน้าที่อย่างครบถ้วน ในส่วนของสำนักงานประกันสังคมก็ได้เร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้สิทธิประโยชน์ถึงมือผู้ประกันตนโดยเร็ว

รพ.ขยายกลุ่มโรคเรื้อรัง “รับยาใกล้บ้าน” เพิ่ม ลดความเสี่ยงผู้ป่วยจากวิกฤติ “โควิด-19”

นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งขาติ (สปสช.) กล่าวว่า ตามที่ สปสช.ได้ดำเนินโครงการผู้ป่วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) รับยาที่ร้านขายยาแผนปัจจุบัน ขย.1 เพื่อช่วยลดแออัดในโรงพยาบาลรัฐ หรือ “โครงการรับยาใกล้บ้าน” โดยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 นับเป็นกลไกที่ช่วยลดความเสี่ยงผู้ป่วยในการรับเชื้อและการแพร่ระบาดของโรคได้ ช่วงที่ผ่านมาได้มีโรงพยาบาลหลายแห่งได้ประสานขอเพิ่มจำนวนร้านยาเครือข่ายเพื่อร่วมโครงการฯ

ทั้งนี้จากข้อมูลรายงานโครงการฯ เมื่อวันที่ 19 มีค563 มีโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการรับยาใกล้บ้านจำนวน 108 แห่ง ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ 889 แห่ง และผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการ 4,556 ราย จากข้อมูลรายงานเมื่อวันที่ 1 กพ563 มีโรงพยาบาลเข้าร่วม 91 แห่ง ร้านยาที่เข้าร่วมโครงการ 750 แห่ง และผู้ป่วยที่สมัครเข้าร่วมโครงการ 2,433 แห่ง พบว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการเพิ่ม 19 แห่ง และร้านยา 139 แห่ง สำหรับในส่วนของผู้ป่วยที่สมัครเข้าร่วมโครงการมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก 2,123 คน หรือเกือบเท่าตัว  

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ตามที่ สปสช.ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคเข้าร่วมโครงการ คือ กลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หอบหืด และจิตเวชเรื้อรัง ซึ่งในช่วงสถานการณ์วิกฤตขณะนี้ส่งผลให้หลายโรงพยาบาลจำเป็นต้องปิดบริการบางส่วนเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ แต่เนื่องจากยังคงมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นหลายกลุ่มโรคที่คงต้องได้รับยาต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการ ดังนั้นที่ผ่านมาโรงพยาบาลหลายแห่งได้ทำหนังสือแจ้งมายัง สปสช. เพื่อขยายโครงการรับยาใกล้บ้านในส่วนของโรงพยาบาลให้ขยายครอบคลุมไปยังผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่นๆ ด้วย อาทิ โรคไทรอยด์ โรคผิวหนัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเลือด โรคภูมิแพ้ โรคไต โรคจักษุ และโรคเรื้อรังอื่นที่สามารถควบคุมได้ เน้นเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการคงที่ตามการวินิจฉัยของแพทย์ ช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้ป่วย

 “รับยาใกล้บ้านเป็นโครงการที่มีประโยชน์ทั้งกับผู้ป่วยและหน่วยบริการ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาด COVID-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และมีแนวโน้มจำนวนผู้ป่วยขอเข้าร่วมโครงการเพิ่ม สะท้อนให้เห็นว่าร้านยาสามารถทำหน้าที่เป็นหน่วยร่วมบริการในระบบสุขภาพได้ดี ช่วยให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังได้รับยาอย่างต่อเนื่องทั้งในยามสถานการณ์ที่เป็นปกติและไม่ปกติได้ ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลได้รับยาต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมีการติดตามอาการผู้ป่วยผ่านการดูแลโดยเภสัชกรประจำร้านยาและรายงานเข้าสู่ระบบไปยังโรงพยาบาล ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลต่อเนื่องได้ในขณะนี้” เลขาธิการ สปสช. กล่าว

นครรังสิตใช้ 'กองทุนสุขภาพตำบล' หนุนเสริมงานป้องกัน COVID-19

ธีรวุฒิ กลิ่นกุสุม นายกเทศมนตรีนครรังสิต เปิดเผยว่า นครรังสิตได้ใช้งบประมาณจากกองทุนสุขภาพตำบล ร่วมกับงบจากกองทุนอื่นๆ เพื่อใช้ในทุกมิติของสถานการณ์เชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่ ทั้งด้านของการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ สำหรับตัวอย่างการดำเนินงาน เช่น การนำน้ำยาฆ่าเชื้อไปฉีดพ่นตามสถานที่ต่างๆ การให้ความรู้ สอนใช้หน้ากากอนามัย สอนการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันโรค หรือล่าสุดได้มีการจัดซื้ออุปกรณ์ทำเจลล้างมือ ซึ่งมีเป้าหมายดำเนินการให้ทุกบ้านมีเจลเพื่อใช้ในการล้างมือ บ้านละ 300 ซีซี

ธีรวุฒิ กล่าวว่า ส่วนของผู้ป่วยในพื้นที่ปัจจุบันมี 2 ราย และกลุ่มเสี่ยงอีกราว 100 คน ซึ่งมีการเข้าไปดูแลติดตามทั้งจาก อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) หรือในส่วนของทีมเจ้าพนักงานในชุมชน และภาคประชาสังคม ที่เข้าไปสำรวจติดตามกลุ่มเสี่ยงเป็นระยะ

ธีรวุฒิ กล่าวอีกว่า งบประมาณของกองทุนสุขภาพตำบลในพื้นที่นี้ได้รวมกันปีละราว 9 ล้านบาท ซึ่งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอาจมีการใช้งานที่สะดุดไปบ้างเนื่องจากอยู่ระหว่างการแก้กฎระเบียบ จนปัจจุบันสามารถใช้ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น และทำงานได้ลื่นไหลมากขึ้น

"ตอนนี้ระเบียบเปิดช่องในหลายส่วนเพื่อให้ไวต่อการแก้ไขปัญหา ฉะนั้นในแต่ละพื้นที่ต้องให้ความเชื่อมั่นว่าการปฏิบัติงานนี้เป็นอำนาจหน้าที่ แม้จะยังไม่ถือว่าเป็นภัยพิบัติตามประกาศของ พ.ร.บ.ก็จริง แต่เรื่องของการป้องกันโรคนี้เป็นภาระหน้าที่ของกองทุนฯ โดยตรงอยู่แล้ว และสามารถทำได้โดยตัวมันเอง" ธีรวุฒิ ระบุ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net