กะเหรี่ยงภาคเหนือส่งข้าวสู่แก่งกระจาน จี้รัฐเยียวยาชุมชนที่ได้รับผลกระทบเรื่องไร่หมุนเวียน

เครือข่ายชุมชนกะเหรี่ยงภาคเหนือ (คกน.) จัดส่งข้าวจากไร่หมุนเวียนกว่า 7 ตันช่วยชุมชนบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี พร้อมออกแถลงการณ์จี้รัฐเยียวยาชุมชนกะเหรี่ยงภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการห้ามเผา และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ จนไม่สามารถทำไร่หมุนเวียนได้

30 เม.ย. 2563 เครือข่ายชุมชนกะเหรี่ยงภาคเหนือ (คกน.) ได้ระดมรับบริจาคข้าวเปลือกและข้าวสารจากไร่หมุนเวียนของชุมชนกะเหรี่ยง จัดส่งไปให้ชุมชนบ้านบางกลอย ตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากชุมชนดังกล่าวยังขาดแคลนอาหารในช่วงปิดชุมชนสู้ COVID-19 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ภาคเหนือกำลังต้องเผชิญกับปัญหาการไม่สามารถทำไร่หมุนเวียนได้ อันเนื่องมาจากการประกาศใช้นโยบายห้ามเผาจากรัฐบาล และการดำเนินการอันเข้มงวดของเจ้าหน้าที่รัฐในระดับพื้นที่

สรศักดิ์ เสนาะพรไพร ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนกะเหรี่ยงภาคเหนือ (คกน.) กล่าวว่า เครือข่ายฯ รวมข้าวได้ประมาณ 19 ตัน แบ่งไปที่กิจกรรมข้าวแลกปลา 7.9 ตัน หลังจากได้ข่าวเรื่องพี่น้องที่บางกลอย จึงแบ่งไปช่วยเหลือ 7.2 ตันในวันนี้ นอกจากนั้นได้แบ่งไปที่พื้นที่ชุมชนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ในขณะเดียวกันก็เหลือไว้ส่วนหนึ่งเป็นการระดมทุน เป็นค่าใช้ในการขนส่ง อีกส่วนหนึ่งคือเพื่อตั้งกองทุนพัฒนาปกป้องไร่หมุนเวียน เป็นกองทุนเบื้องต้นที่จะช่วยเหลือพี่น้องกะเหรี่ยงที่ไม่ได้เผาเตรียมแปลงเกษตรไร่หมุนเวียนในปีนี้ หรือถูกยึดพื้นที่ไร่หมุนเวียนโดยเจ้าหน้าที่รัฐ

“ปัญหาตอนนี้คนที่ทำไร่หมุนเวียนไม่ได้เผาไร่ ไม่ได้มีการจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เกษตรให้พร้อมที่จะเพาะปลูก สาเหตุก็ด้วยกฎหมายและนโยบาย รวมถึงคำสั่งต่างๆ ที่ไม่ให้ใช้ไฟในช่วงนี้ เป็นเหตุให้เกิดปัญหา แต่พอมาถึงฤดูกาลที่ต้องเพาะปลูกฝนก็ลงมาแล้ว การจัดการวัชพืชหรือเศษพืชก็ไม่สามารถทำได้ ที่สำคัญคือพื้นที่ตรงนี้ด้วยระบบของธรรมชาติจะเป็นการหมุนเวียนพลังงานและปุ๋ยให้พืชที่จะปลูก พอไม่มีการใช้ไฟก็ไม่มีธาตุอาหารให้พืชงอกงามได้ ไร่หมุนเวียนเป็นพื้นที่ลักษณะลาดชัน ไม่เหมือนที่นาจึงไม่สามารถทดน้ำเข้ามาได้” สรศักดิ์กล่าว

นอกจากนั้น ชุมชนยังถูกคุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐในระดับพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ การตรวจยึดแปลงไร่หมุนเวียน และการจับกุมดำเนินคดี ทำให้มีหลายชุมชนไม่สามารถทำไร่หมุนเวียนได้แล้วในปีนี้ แม้ที่ผ่านมาจะช่วยกันดูแลจัดการไฟป่าอย่างหนัก

“พอไฟใกล้จะหมดลงก็มีมาตรการเข้าไปยึดพื้นที่ของเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ ผมคิดว่าเพราะความรุนแรงเกิดที่ดอยสุเทพไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้ ผู้บังคับบัญชาบอกว่าต้องไปหาผู้ทำผิดมาให้ได้ ก็ต้องไปปฏิบัติการที่อมก๋อย คล้ายๆ กับสถานการณ์ในจังหวัดเชียงใหม่ที่ดอยอินทนนท์เมื่อปี 2540 ตอนนั้นแล้งมากเหมือนปีนี้ แต่พอไม่สามารถจับคนที่เผาที่นั่นได้ก็ต้องไปจับพี่น้องเผ่าดาราอั้งที่เชียงดาว คือเหมือนต้องสร้างสถานการณ์เพื่อกลบข่าวไม่ดีของตัวเอง อันนี้ก็เหมือนกัน พอเกิดปัญหาที่ดอยสุเทพเขาไม่สามารถจับคนได้ ก็ไปจับพื้นที่อื่นๆ ที่ทำไร่หมุนเวียน แล้วบอกว่าเป็นสาเหตุของไฟป่า ทั้งๆ ที่มันไม่เกี่ยวข้องกันเลย มันไกลกัน ไม่มีใครพิสูจน์ได้เลยว่าการทำไร่หมุนเวียนของพี่น้องอมก๋อนทำให้เกิดไฟหรือควันที่ดอยสุเทพ เป็นโจทย์ใหญ่ว่ารัฐบาลจะรับผิดชอบความเสียหายนี้อย่างไร” ผู้ประสานงาน คกน. กล่าว

ด้าน พฤ โอโดเชา ชาวกะเหรี่ยงบ้านป่าคาใน ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในชุมชนกะเหรี่ยงที่ยังไม่ได้จัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่การเกษตรไร่หมุนเวียน เนื่องจากถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ เห็นว่า แนวคิดการจัดการปัญหาของรัฐขณะนี้เป็นแบบ “กรีนรักชาติ สีเขียวนิยม” ที่ไม่ได้มองเห็นความเป็นคนของชุมชนที่อยู่ในป่า เมื่อรัฐส่วนกลางให้นโยบายมาอย่างไร ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอก็ต้องสนองตามนั้น โดยไม่ได้มองเห็นความทุกข์ร้อนของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่

“นายอำเภอบอกว่ามันเป็นอำนาจของจังหวัด เขาไม่มีอำนาจ เขาไม่กล้าให้ชาวบ้านเผา อีกวันหนึ่งเราไปรับหนังสือที่ ชม.11 ป่าสงวนฯ ก็โทรมาบอกผู้ใหญ่บ้านว่าห้ามเผาเด็ดขาด ถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาจะดำเนินคดี ผู้ใหญ่บ้านรับผิดชอบไหวใหม่ แต่เราบอกว่าถ้าเราไม่เผาเราจะทำอย่างไร เขาก็บอกว่าถ้าผู้ใหญ่บ้านไม่ให้เผา เขาก็ไม่เผากันหรอก สุดท้ายก็กลัว เขาก็บอกว่าแดดน่าจะรออยู่นะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่รอแน่ๆ ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 26-27 ฝนก็มาต่อเนื่อง เปียก หญ้ามาแล้ว” พฤเล่าถึงสถานการณ์ในพื้นที่

ธนากร อัฏฐ์ประดิษฐ์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า กะเหรี่ยงเป็นกชุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกทำให้อยู่ชายขอบและไม่มีปากมีเสียงมาตลอด เริ่มตั้งแต่การประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ ประกาศเป็นเขตป่าของรัฐทับพื้นที่ ทำให้ชาวกะเหรี่ยงไม่เคยมีความมั่นคงในชีวิต เป็นการดำเนินชีวิตที่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกพรากไป

“กะเหรี่ยงเผชิญกับปัญหาที่เมื่อ 50 ปีก่อนเคยเผชิญมาแล้วทั้งนั้น มันเป็นเรื่องการถูกทำให้ด้อยอำนาจทางสังคม พร้อมจะเป็นกลุ่มที่รับข้อกล่าวหาทางสิ่งแวดล้อมเสมอๆ ไม่ว่าจะด้วยกระแสน้ำท่วม น้ำแล้ง มลพิษทางอากาศ จนถึงไฟป่าหมอกควัน เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เผชิญมายาวนานแล้วตั้งแต่มีรัฐไทย ตั้งแต่มีการประกาศกฎหมายมาทับ ความไม่มั่นคง การถูกตีตรา การถูกมายาคติที่บิดเบือนแบบนี้กำลังสร้างความไม่มั่นคงในวิถีชีวิตของชุมชน นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของชุมชนกะเหรี่ยง แต่ปัญหานี้คือตัวแทนของสังคมไทยและสังคมโลก มันมีทั้งอนาคตของความมั่นคงทางอาหารและความยั่งยืนของระบบนิเวศเป็นเดิมพัน” ธนากรกล่าว

นอกจากนั้น ธนากรยังได้เน้นย้ำว่า “ไร่หมุนเวียน” จะเป็นระบบการเกษตรที่ตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหารในอนาคต เห็นได้ชัดจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่แม้กะเหรี่ยงจะปิดชุมชนและพึ่งพาทรัพยากรหรือสิ่งอำนวยความสะดวกจากข้างนอกน้อย ก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ปรกติสุข และยังสามารถมีข้าวเหลือมากมายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสที่ขาดแคลนอาหารอื่นๆ

“เป็นคำถามที่เราต้องตั้งให้สังคมว่า เราจะไม่รักษาคุณค่าที่เหลืออยู่ตอนนี้ไว้เลยหรือ ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิดก็แสดงให้เห็นแล้วว่าแม้เผชิญเงื่อนไขแรงเสียดทานขนาดนี้ แต่ยังมีผลผลิต มีข้าวพอในการแบ่งคนอื่น นี่ขนาดอยู่ภายใต้กฎหมายแบบนี้ แต่ถ้าเราปลดล็อกเรื่องพวกนี้แล้วเสริมศักยภาพสมัยใหม่เข้าไปช่วยเขา เราจะมีพื้นที่หรือระบบการผลิตอาหารที่มีความหลากหลายสูงมาก มีความมั่นคงทางอาหารสูงมาก การรักษาระบบนิเวศสูงมาก สังคมต้องคิดว่าคุณจะมองแค่การใช้ไฟที่เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งระยะการทำไร่หมุนเวียนของทั้งปี แล้วประเมินว่าเขาเป็นผู้ทำลาย ประเมินแค่นั้นโดยไม่คิดจะเก็บรักษาสิ่งที่ถูกพิสูจน์มาแล้วว่ามีคุณประโยชน์แบบนี้ไว้เลยหรือ” นักวิชาการอิสระย้ำ

ทั้งนี้ จากงานวิจัยเรื่อง สิทธิของชุมชนชาวกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) กับการดำเนินเขตวัฒนธรรมพิเศษไร่หมุนเวียนในพื้นที่ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหากรณีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชุมชนกะเหรี่ยงในพื้นที่ป่าภาคเหนือ โดยอาจารย์ไพสิฐ พาณิชย์กุลและคณะ เมื่อปี 2560 ระบุว่ามีชุมชนชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ภาคเหนือที่ยังเกี่ยวข้องกับการทำไร่หมุนเวียน 1,630 ชุมชน ร้อยละ 54 (880 ชุมชน) ยังคงทำไร่หมุนเวียนเป็นวิถีหลัก ร้อยละ 15 (245 ชุมชน) ไม่มีการทำไร่หมุนเวียนแล้ว และร้อยละ 32 (505 หมู่บ้าน) อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนไปทำการเกษตรรูปแบบอื่น โดยไร่หมุนเวียนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี 2556 และได้รับการคุ้มครองตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ว่าด้วยแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงด้วย

แถลงการณ์เครือข่ายชุมชนกะเหรี่ยงภาคเหนือ (คกน.)

เรื่อง คำสั่งห้ามเผากับผลกระทบต่อการทำไร่หมุนเวียนตามวิถีวัฒนธรรมปกาเกอะญอ

ในช่วงวิกฤตหมอกควันไฟป่าผ่านมา พวกเราชุมชนปกาเกอะญอในนาม “เครือข่ายชุมชนกะเหรี่ยงภาคเหนือ (คกน.)” ได้มีการจัดการไฟอย่างต่อเนื่องเป็นรูปธรรม ทั้งการทำแนวกันไฟ การจัดเวรยามเฝ้าระวัง การเผาชนทำลายเชื้อเพลิง เพื่อป้องกันไฟลุกลามเข้ามาในพื้นที่ป่าชุมชนหรือป่าจิตวิญญาณของชาวบ้าน ชุมชนมีนวัตกรรมและเครื่องมือในการจัดการไฟที่มีประสิทธิภาพ สามารถรับมือกับสถานการณ์ไฟป่าได้ แม้จะขาดความร่วมมือหรือการสนับสนุนจากภาครัฐเท่าที่ควร จนขณะนี้เมื่อมีฝนตกลงมาแล้วสถานการณ์ก็ปรกติ เข้าสู่ช่วงฤดูกาลที่ชุมชนจะได้ทำการเกษตรแบบ “ไร่หมุนเวียน” ตามวิถีวัฒนธรรมของชาวปกาเกอะญอ

อย่างไรก็ตาม นับจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา และได้มอบนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ ระดมสรรพกำลัง เข้าดับไฟป่า ไม่ให้ลุกลามเป็นวงกว้าง สั่งการไปถึงระดับตำบล หมู่บ้าน ให้จับตากลุ่มเสี่ยง ให้ทุกหน่วยงานคุมเข้ม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ให้มีการเผาตลอดช่วงห้ามเผาตามที่จังหวัดกำหนด และเร่งเตรียมการรับมือการเผาสำหรับเกษตรกร หลังพ้นช่วงห้ามเผาด้วย สำหรับการจุดไฟเผาป่า ต้องหาตัวผู้กระทำผิดให้ได้ และให้เร่งส่งฟ้องดำเนินคดีโดยเร็ว และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแถลงข่าวการจับกุมและดำเนินคดี อ้างเพื่อป้องปรามและเป็นตัวอย่างให้ประชาชนรับรู้ นำซึ่งการจับกุมชาวบ้านในหลายพื้นที่ โดยไม่แยกแยะและทำลายความร่วมมือของภาคประชาสังคม

การมอบนโยบายจากรัฐบาลและการดำเนินการอันเคร่งครัดดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนปกาเกอะญอที่ต้องดำรงวิถีการทำไร่หมุนเวียนไว้เพื่อเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหาร จนถึงวันนี้ยังมีชุมชนปกาเกอะญอจำนวนมากที่ถูกคุกคามให้เกิดความหวาดกลัว ไม่สามารถดำเนินการเผาพื้นที่แปลงเกษตรไร่หมุนเวียนเพื่อเตรียมการเพาะปลูกในช่วงเวลาอันควรได้ เครือข่ายชุมชนกะเหรี่ยงภาคเหนือ (คกน.) จึงมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลดังต่อไปนี้

  1. เราขอยืนยันว่า หลังจากที่เราทำได้ดูแลปกป้องผืนป่าอย่างหนักในช่วงสถานการณ์วิกฤตหมอกควันไฟป่า พวกเราในฐานะชุมชนปกาเกอะญอดั้งเดิมควรมีสิทธิในการทำไร่หมุนเวียน อันเป็นวิถีการเกษตรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้พวกเรายังสามารถดำรงชีพต่อไปในภายภาคหน้าได้
  2. หากหลังจากนี้ชุมชนใดที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายและการปฏิบัติการของรัฐ จนทำไร่หมุนเวียนล่าช้า กระทบต่อผลผลิต หรือไม่สามารถทำไร่หมุนเวียนได้ในปีนี้ รัฐต้องมีมาตรการเยียวยาโดยเร่งด่วนและมีความเป็นธรรม
  3. กรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดให้มีโครงการปลูกป่า 66 ล้านต้นเพื่อเป็นการฟื้นฟูพื้นที่ป่าที่ถูกไฟไหม้ในปีนี้ เราขอเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งในเรื่องของความคุ้มทุน ประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผืนป่า ความโปร่งใส ธรรมาภิบาล และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนระลอกที่สอง
  4. เราเป็นชุมชนปกาเกอะญอที่ได้รับการคุ้มครองตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ว่าด้วยแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ขอยืนยันว่าวิถีชีวิตของเรา โดยเฉพาะการทำไร่หมุนเวียนเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยที่ไร่หมุนเวียนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาของประเทศไทยเมื่อปี 2556 และขอยืนยันว่ารัฐต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ซึ่งได้ระบุไว้ชัดเจนด้วยว่ารัฐต้อง “ศึกษาและยอมรับระบบไร่หมุนเวียน”

เราเห็นว่า ในสถานการณ์โควิดซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าช่วงระยะเวลานี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร รัฐบาลควรสนับสนุนให้ประชาชนมีความเข็มแข็งในการต่อสู้กับวิกฤตดังกล่าว ให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้การจัดการทรัพยากรที่เป็นธรรมและให้ประชาชนมีอำนาจอย่างแท้จริง อันจะเป็นหลังพิงให้ชุมชนมีความมั่นคงทางอาหาร มีคุณภาพชีวิตที่ดี ตามวิถีวัฒนธรรมที่งดงามของพวกเราชาวปกาเกอะญอ ขอให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนที่เคารพคุณค่าของความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อสร้างความยั่งยืนสันติสุขสืบไป

เชื่อมั่นในพลังประชาชน

เครือข่ายชุมชนกะเหรี่ยงภาคเหนือ (คกน.)

วันที่ 30 เมษายน 2563

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท