Skip to main content
sharethis

หวั่นโควิด-19 ระบาดระลอก 2 นักวิจัยพัฒนาระบบเอไอวิเคราะห์ปริมาณความหนาแน่นของประชากรในสถานที่ต่าง ๆ หากไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม จะส่งสัญญาณเตือนผ่านแอพลิเคชั่นไลน์ ด้านสปสช.-กรมควบคุมโรคแนะกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่ฉีดวัคซีนก่อนเข้าฤดูฝน ชี้อาการเบื้องต้นคล้ายกับโควิด-19 อาจสร้างความสับสนต่อการควบคุมโรคระบาด นพ.ยง ย้ำวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไป้องกันโควิด-19 ไม่ได้

 

นักวิจัยพัฒนาเอไอควบคุมการระบาดระลอก 2

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID19 ในปัจจุบัน ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเดินหน้าผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อให้เศรษฐกิจนั้นสามารถขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไปได้ ในขณะเดียวกันทางภาคสาธารณสุขต่างออกมาส่งเสียงถึงข้อกังวลเกี่ยวกับการคลายมาตรการล็อกดาวน์ ที่อาจส่งผลให้เกิดการระบาดระลอก 2 หรือ Second wave ซึ่งอาจส่งผลกระทบที่รุนแรงกว่าการระบาดระลอกแรก

ขณะที่ในประเทศไทยสถานประกอบการต่าง ๆ เริ่มเตรียมมาตรการออกมารองรับ เพื่อแสดงความพร้อมหากรัฐบาลประกาศเดินหน้าผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้ทันที ตัวอย่างเช่น ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ที่เริ่มออกมาประกาศถึงแนวทางปฏิบัติเมื่อรัฐบาลประกาศคลายล็อกดาวน์ แต่ก็ปฏิบัติไม่ได้ว่า ถึงแม้ยังมีมาตรการรองรับแต่การรวมกลุ่มกันของคนจำนวนมากก็ยังคงมีความเสี่ยงที่อาจทำให้ COVID19 กลับมาระบาดอีกครั้ง 

 


ศิริเดช บุญแสง

 

รศ.ดร.ศิริเดช บุญแสง คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID19 ในปัจจุบัน ทำให้เกิดข้อกังวลว่า การที่ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศลดจำนวนลงอาจทำให้ประชาชนบางกลุ่มเกิดการหลงลืมการปฏิบัติตามหลัก Social distancing ประกอบกับปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ช่วงปลายฤดูร้อนกำลังจะเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการแพร่กระจายโรค และปัจจัยที่กล่าวมานี้อาจจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาด COVID19 ระลอก 2 ในประเทศ โดยตนในฐานะนักวิจัย โครงการวิจัย “การพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีฐานด้านการบูรณาการระบบ เพื่องานหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และปัญญาประดิษฐ์ สำหรับใช้งานในระบบอุตสาหกรรม 4.0” สนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตรรม (สกสว.) จึงมีแนวคิดในการพัฒนาเทคโนโลยี CiRA CORE (ซี-ร่าห์-คอร์) ปัญญาประดิษฐ์ นำมาช่วยในการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของ COVID19 โดยวิธีนำ CiRA CORE มาใช้ร่วมกับกล้องถ่ายวีดีโอที่จับภาพผู้คนในสถานที่ต่าง ๆ โดย CiRA CORE จะทำหน้าที่คิดและวิเคราะห์ปริมาณความหนาแน่นของประชากรที่เข้าไปอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ หากไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ระบบ CiRA CORE ก็จะสามารถส่งสัญญาณเตือนผ่านแอพลิเคชั่น Line เพื่อแจ้งเตือนให้หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่เสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น การเข้าไปรับประทานอาหารในห้างสรรพสินค้า เทคโนโลยี CiRA CORE จะสามารถบอกได้ทันทีว่าภายในร้านมีความหนาแน่นของประชากรมากน้อยเพียงใด หากมีประชากรหนาแน่นมากจนเกิดไปก็สามารถแจ้งเตือนเพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงได้

 

 

นอกจากนี้ รศ.ดร.ศิริเดช ยังบอกว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้พัฒนาเสร็จสิ้นแล้วและสามารถใช้งานได้จริง โดยเตรียมนำร่องนำมาใช้ในสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในส่วนของโรงอาหาร หรือ ห้องสมุด ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการรวมตัวของนักศึกษา ทั้งนี้เพื่อรองรับการเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียนที่จะถึงนี้ ให้นักศึกษาสามารถเข้ามาใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยได้อย่างปลอดภัย โดยพร้อมสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับสถานที่สาธารณสุขได้ฟรี เพราะเล็งเห็นว่างานวิจัยชิ้นนี้เป็นงบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน เพราะฉะนั้นจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีนี้ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของ COVID19 ระลอก 2

 

แนะกลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่รีบรับวัคซีนป้องกันสับสนกับโควิด-19 ช่วงฤดูฝนนี้

สำนักงานหลักประสันสุขภาพแห่งชาติ จัดเสวนาออนไลน์เรื่อง "วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทางรอดใหม่จากโควิด-19" เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา โดยมี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมอภิปราย


จากซ้ายไปขวา ธนรักษ์ ผลิพัฒน์, ยง ภู่วรวรรณ, ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา

 

นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า โรคไข้หวัดใหญ่กับโรคโควิด-19 มีอาการเริ่มต้นคล้ายกัน กลุ่มเสี่ยงของทั้ง 2 โรคนี้ก็คล้ายกัน วิธีป้องกันโรคก็เหมือนกัน อาการรุนแรงก็คล้ายกันอีก ซึ่งจากมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้ไข้หวัดใหญ่มีโอกาสระบาดน้อยลงในปีนี้ โดยช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขพบผู้มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่แต่ตรวจไม่เจอเชื้อ กล่าวคือเจอ 0%

อย่างไรก็ดี ในช่วงฤดูฝนปีนี้ ถ้ามีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เพิ่มมากขึ้นจะไปสร้างความสับสนในคลินิกโรคติดต่อทางเดินหายใจ แต่หากสามารถลดกลุ่มเสี่ยงลงก็ทำให้การจัดการโควิด-19 ง่ายขึ้น อีกทั้งไม่ไปแย่งชิงทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดของโรงพยาบาลอีกด้วย

"สถานการณ์โควิด-19 ในขณะนี้ประเทศไทยพยายามผ่อนปรนมาตรการหลายอย่าง ทำให้ความเสี่ยงที่การระบาดรอบใหม่จะมีเพิ่มขึ้น แต่ถ้าประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม การระบาดก็จะอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งในส่วนของโรคไข้หวัดใหญ่ในปีนี้ สปสช.ได้วัคซีนเร็ว ทำให้สามารถฉีดได้เร็วก่อนฤดูระบาด เป้าหมายปีนี้ต้องการให้กลุ่มเสี่ยงได้รับวัคซีนมากที่สุด อย่างไรก็ตามแม้ปริมาณวัคซีนที่ได้รับงบประมาณให้จัดซื้อในปีนี้จะมากกว่าปีก่อนแต่ก็ยังไม่เต็มจำนวนกลุ่มเสี่ยง ถือว่ามีจำกัด ดังนั้นการให้บริการคือมาก่อนได้ก่อน ดังนั้นอยากให้กลุ่มเสี่ยงทุกคนรีบออกมารับวัคซีนให้เร็วที่สุด" นพ.ธนรักษ์ กล่าว

นพ.ธนรักษ์ กล่าวย้ำว่า ในช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาดนี้ การได้รับวัคซีนในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ก็สำคัญไม่แพ้กันเพราะแม้จะมีอาการโรคทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง ดังนั้นปีนี้อยากสนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์รีบไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกคนด้วย ขณะเดียวกัน ฝากถึงหน่วยบริการว่าเมื่อฉีดวัคซีนแล้วขอให้บันทึกข้อมูลเข้าระบบโดยเร็ว เพราะจะมีผลระยะยาวในการเป็นข้อมูลสำหรับต่อรองของบประมาณจัดซื้อวัคซีนเพิ่มในอนาคต

ด้าน ศ.นพ.ยง กล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่ป้องกันได้ การติดต่อของโรคไม่ต่างจากโควิด-19 ส่วนรูปแบบการระบาดในเมืองไทยจะสามารถพบไข้หวัดใหญ่ได้ตลอดปีแต่จะมีช่วงพีคในฤดูฝน

"ปีก่อนการระบาดในเมืองไทยมีไม่น้อย แต่ปีนี้มีการรณรงค์ป้องกันโควิด-19 ในเดือน ก.พ.-เม.ย. พบว่าเคสผู้ป่วย Influenza-like illness (ILI) ลดลงแบบมีนัยยะสำคัญและในคลินิกที่ทำการเก็บข้อมูลไม่พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่เลย เชื่อว่าปีนี้อุบัติการณ์ไข้หวัดใหญ่น่าจะน้อยลงกว่าปีก่อน แต่ก็ยังแนะนำให้กลุ่มเสี่ยงไปฉีดวัคซีนก่อนช่วงฤดูฝนคือเดือน มิ.ย. โดยเฉพาะการให้วัคซีนในผู้สูงอายุมีความจำเป็นมากเพราะถ้าป่วยแล้วลงปอดก็มีโอกาสทำให้เสียชีวิตได้" ศ.นพ.ยง กล่าว

ศ.นพ.ย้ำว่า ในส่วนของข้อมูลที่แชร์กันมาทางโซเชียลมีเดียว่าการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะช่วยป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่นั้น ต้องเข้าใจว่าไวรัสทั้ง 2 ชนิดอยู่คนละกลุ่ม วัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงไม่สามารถป้องกันโควิด-19 ได้ ขณะเดียวกันการฉีดวัคซีนก็ไม่ได้ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอื่นมากเช่นกัน

ขณะที่ นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ปีนี้ สปสช.จัดซื้อวัคซีน 4 ล้านโดส รวมเป็นเงินประมาณ 450 ล้านบาท สำหรับ 7 กลุ่มเสี่ยง คือ หญิงมีครรภ์, เด็กอายุ 6 เดือน - 2 ปี, ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป, ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง, ผู้พิการทางสมอง, ผู้ป่วยธาลัสซีเมียและผู้ติดเชื้อเอชไอวี และกลุ่มที่มีน้ำหนักเกิน 100 กก. ส่วนการให้วัคซีนสามารถแบ่งเป็น 2 พื้นที่ใหญ่ๆ คือ กทม. และต่างจังหวัด ในต่างจังหวัดมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ซึ่งมีรายชื่อกลุ่มเสี่ยงที่สามารถเรียกไปฉีดวัคซีนได้อยู่แล้ว แต่ใน กทม. มีการเคลื่อนไหวของประชากรสูงมาก จึงมีระบบช่วยดำเนินการให้วัคซีน 2 ระบบคือ 1.ประสานที่สายด่วน 1330 และ 2.ลงทะเบียนจองคิวนัดหมายผ่านแอปพลิเคชัน หรือ แอดไลน์ "@UCBKK สปสช.สร้างสุข" โดยกลุ่มเสี่ยงสามารถรับวัคซีนได้ทุกสิทธิไม่ว่าเป็นบัตรทอง ประกันสังคมหรือข้าราชการ

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net