Skip to main content
sharethis

กระทรวง อว. จัดงบ 3,000 ล้านบาท สู้ภัยโควิด-19 แบ่งเป็นงบประมาณในการวิจัยและพัฒนา 1,000 ล้านบาท งบเยียวยาเศรษฐกิจ 2,000 ล้านบาท เคาะแผนโปรแกรมวิจัยเพิ่มในภาวะเร่งด่วน แก้ปัญหาวิกฤตโควิด – 19  หวังระบบวิจัย สร้างผลงานและนวัตกรรม ตั้งรับ ฟื้นฟูประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

13 พ.ค. 2563 วันนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) รายงานว่า หลังจากที่ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโควิด19 ทุกภาคส่วนต่างออกมาร่วมมือกันในการรับมือกับวิกฤตครั้งนี้ ที่ผ่านมา สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มีนโยบายปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2563 ในส่วนของกระทรวง อว. จำนวน 3,000 ล้านบาท  มาช่วยประเทศในการสู้ภัยโควิด-19 โดยแบ่งเป็น

งบประมาณในการวิจัยและพัฒนาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นจำนวน 1,000 ล้านบาท ซึ่งอาจารย์ทุกมหาวิทยาลัยสามารถมีส่วนร่วมในการดำเนินการ และงบประมาณในการเยียวยาช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจจำนวน 2,000 ล้านบาท ผ่านการให้ทุนสำหรับนักศึกษา หรือดึงคนตกงานกลับมาเรียนต่อในมหาวิทยาลัย รวมไปถึงจ้างงานกับบัณฑิตจบใหม่ผ่านโครงการยุวชนสร้างชาติ และอบรมเพิ่มหรือปรับทักษะ (Upskill/Reskill) สำหรับอาชีพหลังโควิด-19 และอีกส่วนหนึ่ง คืองบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จำนวนกว่า 1,000 ล้านบาท จัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัย (PMU : Program Management Unit) ให้ทุนสนับสนุนนักวิจัยไทยในการคิดค้นวิธีการแก้วิกฤตครั้งนี้

นพ.สุทธิพันธ์  จิตพิมาศ  ผู้อำนวยการ สกสว. เปิดเผยว่า ในส่วนของการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มีการปรับแผนจัดสรรงบประมาณ Strategic fund ปีงบประมาณ 2563 โดยมีการเพิ่มในส่วนของโปรแกรม (Program) 17 คือ การแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ โดยเน้นเร่งด่วนเรื่องโควิด19 และปัญหาภัยแล้ง

โดยการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศนั้น ในส่วนประเด็นโควิด19 มีการออกแบบการทำงาน ตามเป้าหมายสำคัญแบ่งออกเป็น 3 ระยะ เริ่มต้นด้วยระยะเร่งด่วน คือ การแพร่กระจายของโรคระบาด การบริหารจัดการภาวะวิกฤต ระยะปานกลาง คือ ความปลอดภัยทางด้านสุขภาพของมนุษย์ และระยะยาว คือ การสร้างความยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาด้านสุขภาพ เศรษฐกิจและสังคม

สำหรับการจัดการระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อรับมือกับโควิด 19 ในภาวะวิกฤตและหลังภาวะวิกฤต ประกอบด้วย 4 มิติ ได้แก่ มิติวิทยาศาสตร์การแพทย์และการสาธารณสุข หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) มิติของเศรษฐกิจและสังคม มิติของการสื่อสารและการรับรู้ ตลอดจนมิติของมาตรการและการเตรียมการหลังภาวะวิกฤต ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปยังหน่วยบริหารจัดการโปรแกรม จนกระทั่งได้ผลงานวิจัยสำคัญที่สามารถช่วยหยุดยั้งวิกฤตโควิด เช่น

ความสำเร็จการผลิตชุดตรวจโควิด 19 ด้วยวิธี RT-PCR  จำนวน 20,000 ชุด มอบให้กับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ร่วมกันสนับสนุนทุนวิจัย  โครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตชุดตรวจ SARS-CoV-2 ด้วยวิธี Real-Time RT-PCR (qPCR) เพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพ โดยพัฒนาและผลิตชุดตรวจจาก prototype ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พัฒนาขึ้น

ทางด้าน หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัย และสร้างนวัตกรรม (บพค.) ก็ได้ดำเนินโครงการวิจัยเรื่อง “COVID-19 Multi-Model Comparison Consortium (CMMC)” สร้างความร่วมมือกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติ โดยการสร้างแบบจำลอง (Model) เพื่อการวางแผนในการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด 19 เพื่อวางแผนการจัดเตรียมโรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการแบบจำลองทางด้านผลกระทบ เพื่อการวางนโยบายของประเทศ 

ส่วนหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) มีการเสนอแผนและโครงการ เช่น การจัดการความเสี่ยงในพื้นที่โดยมหาวิทยาลัยพัฒนาพื้นที่ โดยมีการวางเป้าหมายการดำเนินงาน มหาวิทยาลัยในพื้นที่จัดการข้อมูล ความรู้และเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อตอบปัญหาเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจ และสังคมของพื้นที่จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด19 ใน 10 จังหวัดเป้าหมาย และมีแผนโครงการการบริหารจัดการหลังภาวะวิกฤต การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Economic activity) เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก/ชุมชนในพื้นที่แบบเร่งด่วนรองรับผลกระทบจาก สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 เพื่อมุ่งหวังยกระดับรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยโดยอาศัยกลไกการพัฒนาเชิงพื้นที่

สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA มีแผนงานหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคมสําหรับการพัฒนาเชิงพื้นที่ 4 หน่วย (มุ่งเน้นการแก้ปัญหาจากโควิด19) โดยฟื้นฟูผลกระทบจากโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง และการจ้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับชุมชน  

สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) มีแผนงานโครงการ การนำร่องเพื่อศึกษาประสิทธิผลของสารสกัดฟ้าทะลายโจรเพื่อให้เสริมกับการรักษาตามมาตรฐานในผู้ป่วยโควิด19 ที่มีอาการน้อย เป็นการศึกษาผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโควิด19 ที่ใช้ยาฟ้าทะลายโจรร่วมกับการรักษาตามมาตรฐาน ตลอดจนเปรียบกับกลุ่มที่ได้รับการรักษาตามมาตรฐานเพียงอย่างเดียว 

นอกจากนี้ยังมีแผนงานโครงการจาก สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดำเนินโครงการการใช้เทคโนโลยี RT-LAMP และ Genome Evolution Analysis เพื่อการตรวจวินิจฉัยเชื้อ 2019-nCoV เพื่อพัฒนาชุดตรวจ RT-LAMP สำหรับตรวจหาเชื้อโควิด19 โครงการ นวัตกรรมหน้ากากอนามัยนาโนป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัสแบบซักได้ เพื่อพัฒนาต้นแบบหน้ากากอนามัยที่สามารถป้องกันโควิด19 ได้  สามารถซักและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ช่วยให้ประชาชนและบุคลากรหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเข้าถึงและนำไปใช้ได้

และ วช. ยังมีแผนโครงการการพัฒนาหน้ากากป้องกันเชื้อโรคแบบคลุมศีรษะชนิดมีพัดลมพร้อมชุดกรองอากาศประสิทธิภาพสูงเพื่อรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา เพื่อพัฒนาป้องกันเชื้อโรคสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ แบบคลุมศีรษะ มีพัดลมพร้อมชุดกรอกอากาศประสิทธิภาพสูงที่มีแรงดันภายในหน้ากากเป็นไปตามมาตรฐาน และโครงการอื่น ๆ อีกมากมาย

ทางด้าน สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มีโครงการในแผนงานสำคัญ โควิด19 เช่น การสังเคราะห์มาตรการและนโยบายของรัฐบาลเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จากผลการประเมิน การปฏิบัติตนของประชาชนไทยตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อประเมินผลการปฏิบัติตามมาตรการ“อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ในประชาชนไทย และนโยบายหรือมาตรการหรือข้อแนะนําอื่น ๆ  เช่น การรักษาระยะห่าง (Physical distancing), การใส่หน้ากาก, การล้างมือ, การลดการสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก และตา ตลอดจนคำแนะนำในการปรับปรุงนโยบายสาธารณะเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด19 โครงการวิจัยพัฒนาแบบจําลองบูรณาการระบบการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อสนับสนุนกระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบาย เป็นการพัฒนาแบบจำลองสถานการณ์พลวัตระบบของระบบการแก้ปัญหาโควิด19 ในประเทศไทย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม โครงการทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนโครงการในโปรแกรม 17 การแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ โดยหน่วยงานทั้งหมดนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่จัดสรรงบประมาณโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อมุ่งหวังให้ระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นกลไกสำคัญในการช่วยแก้วิฤตโควิด19 เพื่อบรรลุเป้าหมายในการพาทุกคนไทยทุกคนก้าวผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน 

 

สกสว. รับลูก กระทรวง อว. ดีไซน์แผนโปรแกรมวิจัยเชิงรุกฝ่าวิกฤตโควิด – 19

สกสว. ยังได้รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการประชุม รัฐมนตรี อว. พบ สกสว. และพีเอ็มยู (หน่วยบริหารจัดการทุนวิจัย) เพื่อรับฟังข้อมูลความก้าวหน้าด้านการขับเคลื่อนแผนงานระบบวิจัยของประเทศ โอกาสนี้ รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล รองผู้อำนวยการด้านนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)  ได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการจัดสรรงบประมาณวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Fund) ประจำปีงบประมาณ 2563 ว่า ปัจจุบันทางกรมบัญชีกลางได้โอนงบประมาณเพื่อจัดสรรเข้ากองทุน เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563 ซึ่งทาง สกสว. ได้ดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้กับพีเอ็มยู ในภาพรวมประมาณ 6,000 ล้านบาท แต่ด้วยสถานการณโควิด–19 จึงได้มีการปรับงบประมาณรองรับวิกฤตการณ์ โดยในส่วนของงบประมาณวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Fund) ประจำปีงบประมาณ 2563 เดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.)  ได้อนุมัติแผนปฏิบัติการกำหนดหลักเกณฑ์ว่าด้วยการใช้จ่ายเงินอุดหนุนของพีเอ็มยูงบประมาณ 2563 เดือนมีนาคม สกสว. ได้รับงบประมาณจากกรมบัญชีกลางและดำเนินการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOA) กับพีเอ็มยูและหน่วยงานรับทุน และในเดือนเมษายน 2563 สกสว. ได้เบิกจ่ายงบประมาณให้หน่วยรับทุนและปรับแผนและงบประมาณรองรับการแก้ปัญหาโควิด 19  

ทั้งนี้ผลผลิตที่สำคัญจากการดำเนินการจัดสรรทุนผ่านกรอบแพลตฟอร์มยุทธศาสตร์  (Strategic Platform) ในระดับงบประมาณแผนงานสำคัญ (Flagship Program) ปี 2563 เดิมมี 27 แผนงาน 16 โปรแกรม และทาง กสว. ให้เพิ่มโปรแกรม 17 การแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศ เพื่อรองรับวิกฤตโควิด-19 โดยโปรแกรมที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด คือ โปรแกรม 10 การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อยกระดับความสามารถด้านการแข่งขันและวางรากฐานทางเศรษฐกิจ คิดเป็นร้อยละ 48.16 ของงบประมาณทั้งหมด ประกอบด้วยเรื่อง หลัก ๆ เช่น  “บีชีจีโมเดล” การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ระบบฟาร์มอัจฉริยะ (สมาร์ท ฟาร์มมิ่ง) และแผนงานการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศสำหรับอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ (Technology Localization) รองลงมา คือ โปรแกรม 16 การปฏิรูปอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น การปฏิรูประบบหาวิทยาลัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก โปรแกรมที่ 17 การแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ โปรแกรมที่ 5 การวิจัยขั้นแนวหน้า และการวิจัยพื้นฐาน เช่น เรื่องงานวิจัยแนวหน้า (Frontier Research) และ โปรแกรมที่ 13 นวัตกรรมเศรษฐกิจฐานรากและชุมชน ตามลำดับ

ทั้งนี้ โปรแกรมที่ 17 การแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ ปี 2563 ที่ดำเนินการภายใต้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท เกิดขึ้นเนื่องจากที่ประชุม เล็งเห็นว่าประเทศไทยควรมีชุดความรู้และศักยภาพในการพึ่งตนเองด้านกําลังคน อุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.)  เพื่อสนับสนุนการจัดการทั้งในภาวะวิกฤตและการฟื้นตัวหลังภาวะวิกฤต โดยมีเป้าหมายสำคัญในการสร้าง 1) ชุดความรู้สาธารณะเกี่ยวกับปัญหาและการจัดการเมื่อประสบภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ที่ถูกปลูกฝังอยู่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชน 2) ฐานข้อมูลและศูนย์ข้อมูลเพื่อการจัดการภาวะวิกฤตและหลังภาวะวิกฤต 3) นโยบายและนวัตกรรมเพื่อการจัดการภัยพิบัติที่เป็นผลงานจาก ววน. อย่างน้อย 50 ชิ้น/เรื่อง ในช่วง 2 ปี (2563 – 2564) ที่ต้องถูกนำไปใช้ประโยชน์และต่อยอดอย่างเป็นรูปธรรมไม่ขึ้นหิ้ง และ 4) ผลิตข้อมูลเพื่อการลงทุน ในการพัฒนากำลังคนและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการรับมือภาวะวิกฤต ทั้งในภาควิชาการ ภาคอุตสาหกรรม และภาคราชการ เพื่อผลลัพธ์สำคัญคือ ลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจสังคม ได้ร้อยละ10 ของความสูญเสียที่คาดการณ์ อย่างกรณีโควิด-19 ลดความสูญเสียประมาณ 19,000 ล้านบาท จากการมีการพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์ เวชภัณฑ์ ระบบติดตามการระบาดของโรค ให้ความรู้แก่ประชาชน และมีมาตรการทางการแพทย์ สาธารณสุข และฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมในระดับอุตสาหกรรมและระดับพื้นที่ และมุ่งเน้นให้ประเทศมีกลไกในการปรับตัวทั้งทางด้านความมั่นคงในด้านอาหาร สุขภาพ และสังคมเพื่อเกิดภาวะวิกฤต

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net