นับตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2563 ที่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ประกาศให้การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 : COVID-19) เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern : PHEIC) ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation : IHR) ปี 2548 กฎ IHR นั้นถือเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ(Treaty) เพื่อป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพที่ก่อให้เกิดหรืออาจก่อให้เกิดภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ โดยยอมรับอธิปไตยของแต่ละประเทศ และการเคารพศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพพื้นฐานของผู้เดินทางและขนส่งระหว่างประเทศ
น่ายินดีที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้รับการรับรองตามการประเมินสมรรถนะด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคตามกฎ IHR ในปี 2560 โดยวัดผลสำเร็จจากการกำหนดแผนยุทธศาสตร์การพัฒนางานด้านกฎ IHR ระหว่างปี 2560 – 2564 ความครอบคลุมของโครงการวัคซีนพื้นฐานป้องกันโรคหัด โครงการฝึกอบรมนักระบาดวิทยาภาคสนาม (Field Epidemiology Training Programme : FETP) ที่สามารถผลิตนักระบาดวิทยาให้เป็นเครือข่ายของทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว (Surveillance and Rapid Response Team : SRRT) ในระดับพื้นที่
ทว่าท่ามกลางบรรยากาศความหวาดกลัวและความสับสนต่อโรคโควิด 19 ในแง่โรคอุบัติใหม่(Emerging disease) ได้นำมาซึ่งปรากฏการณ์ทางสังคม ทั้งการล่าแม่มด (Witch-hunting) การกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (Cyber bully) โดยเฉพาะการตีตราทางสังคม (Public stigma) ด้วยการปฏิบัติต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลด้วยการเรียกชื่อแบบดูแคลน เหมารวม เลือกปฏิบัติหรือทำให้สูญเสียสถานะด้วยการเชื่อมโยงเข้ากับโรคติดต่อ ไล่เรียงจากคนไทยที่ยังทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศ ก่อนบังคับใช้มาตรการตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ โดยบางส่วนไม่ผ่านมาตรการแยกกัก (Isolation) หรือฝ่าฝืนมาตรการกักตัวของรัฐ (State quarantine) การกักตัวในภูมิลำเนา (Local quarantine) หรือการกักตัวอยู่ในบ้าน (Home quarantine) ต่อมากลายเป็นประเด็นปัญหาการเปิดเผยและส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องสงสัยหรือผู้สัมผัสเชื้อไวรัส โดยเฉพาะชื่อสกุล ภูมิลำเนาถิ่นที่อยู่ กระทั่งโจมตีพฤติกรรมของบุคคลที่ขาดความตระหนักในการป้องกัน เช่น บุคคลที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย ผู้โดยสารรถสาธารณะหรือผู้รับบริจาคสิ่งของบรรเทาทุกข์โดยไม่เว้นระยะห่างทางภายภาพ (Physical distancing) กลุ่มคนที่รวมกันดื่มสุราหรือเล่นการพนัน บรรดาปรากฏการณ์เหล่านี้เกินกว่าการวิจารณ์โดยสุจริตเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ยกระดับเป็นการประจาน จนอาจส่งผลกระทบที่สร้างความกดดันเกลียดชังต่อบุคคลทั้งผู้ป่วย ผู้ดูแลคนป่วย ครอบครัว เพื่อนและชุมชน
คำอธิบายต่อบรรดาพฤติกรรมของผู้คนดังกล่าว หากประเมินด้วยแนวคิดการลงโทษโดยสังคม (Social sanctions) อาจประเมินว่าเป็นปฏิกิริยาการตอบสนองและควบคุมทางสังคมในเชิงลบ ด้วยการทำให้อับอาย ลดทอนคุณค่า การเลิกให้ความเคารพนับถือต่อบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่รับผิดชอบต่อสังคมตามมาตรการของรัฐ แต่กลไก “ตัดสินผู้อื่น” โดยเฉพาะใครๆในสื่อสังคมก็สามารถอุปโลกน์ตนเองขึ้นเป็นผู้วินิจฉัยหรือสอบสวนโรค (Patient under investigated: PUI) แทนนักระบาดวิทยา หลายกรณีจึงเป็นการขยายวงผู้ที่ตกเป็น “เหยื่อ” ทั้งผลักไสให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่สันนิษฐานว่าติดเชื้อให้เป็นเสมือน “อาชญากร”
ผลกระทบที่มาพร้อมกับภาวะโรคระบาด ได้แก่ การตีตราผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 โดยบทความเรื่อง The Stigma Effect โดย Dr. Patrick Corrigan อธิบายและจำแนกประเภทของการตีตราออกเป็น 3 ประการ ประการแรก คือการตีตราทางสังคม (Public stigma) ที่สังคมสร้างตราบาปหรือมลทินแก่ผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยด้วยการเลือกปฏิบัติหรือกีดกันให้แยกตัวออกจากชุมชน ประการต่อมาคือ การตีตราตัวเอง (Self-stigma) คือผู้ที่ขาดความเคารพและละอายใจตัวเองจนปกปิดอาการเจ็บป่วย และประการสุดท้ายคือ การหลีกเลี่ยงการถูกตีตรา (Label avoidance) คือผู้ที่ถูกสันนิษฐานหรือแขวนป้ายว่าอาจติดเชื้อ ส่งผลให้บุคคลนั้นปฏิเสธการตรวจหรือรักษา ขาดกำลังใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี เพราะไม่อยากถูกสังคมตีตรา กลายเป็นปัญหาสุขภาพที่รุนแรงขึ้นและยากต่อการควบคุมการแพร่ระบาดหรือติดตาม
การสร้างความตระหนักเพื่อเห็นคุณค่าของบุคคลและไม่รุกล้ำละเมิดความเป็นส่วนตัว (Privacy rights) และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human dignity) ของผู้ป่วยหรือประชาชนกลุ่มเสี่ยง จึงต้องพิจารณาตามมาตรฐานวิชาชีพบุคลากรทางการแพทย์ มาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน และมาตรฐานชุมชนทางสื่อสังคม ทั้งนี้ ผู้เขียนขอให้น้ำหนักต่อการคุ้มครองข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลเป็นสำคัญ จึงขอหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงมาตรการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่จะมีผลบังคับใช้ต่อไป
มาตรฐานวิชาชีพบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาลและสาธารณสุขต่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการรักษาความลับทั้งการวินิจฉัยและการรักษา ผู้ประกอบวิชาชีพไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยได้ ตัวอย่างเช่นพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ในมาตรา 7 ระบุว่า “ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล เป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะนำไปเปิดเผยในประการที่น่าจะทำให้บุคคลนั้นเสียหายไม่ได้ เว้นแต่การเปิดเผยนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบุคคลนั้นโดยตรง หรือมีกฎหมายเฉพาะ แต่ไม่ว่าในกรณีใดๆ ผู้ใดจะอาศัยอำนาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือกฎหมายอื่น เพื่อขอเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคลที่ไม่ใช่ของตนไม่ได้” สอดคล้องกับคำประกาศสิทธิของผู้ป่วยและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย พ.ศ.2558 ที่รับรองโดยกระทรวงสาธารณสุข แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภาเทคนิคการแพทย์ และสภากายภาพบำบัด ในข้อ 6 ที่ว่า “ ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับการปกปิดข้อมูลของตนเอง เว้นแต่ผู้ป่วยจะให้ความยินยอมหรือเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ เพื่อประโยชน์โดยตรงของผู้ป่วยหรือตามกฎหมาย”
มาตรฐานจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ปัจจุบันพบรายการเล่าข่าวบางสำนักแข่งขันกันนำเสนอข่าวขุดคุ้ยเจาะลึกผสมความคิดเห็นส่วนตัว เช่น การชี้เป้าถึงบ้านของบุคคลกลุ่มที่เดินทางมาจากต่างประเทศที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย การนำเสนอข่าววัดบางแห่งปฏิเสธไม่รับศพผู้ป่วยโรคโควิด 19 มาบำเพ็ญกุศล หรือเน้นเปิดเผยบรรยายรายละเอียดขั้นตอนการจัดการบรรจุศพผู้ป่วย จนละเลยการเคารพสิทธิในความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ตาย ทั้งที่สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ออก “แนวทางการปฏิบัติงานของสื่อมวลชนในภาวะวิกฤติ” ปี 2562 (ข้อ 6 ระบุว่าผู้ปฏิบัติงานข่าวต้องคำนึงถึงสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ประสบภาวะวิกฤต หลีกเลี่ยงการเสนอภาพข่าว และภาษาที่มีลักษณะอุจาด สยดสยอง หรือละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งระมัดระวังการนำเสนอประเด็นเปราะบางทั้งด้านสิทธิมนุษยชน ความแตกต่างทางความเชื่อและวัฒนธรรม และความสูญเสีย อันเป็นการซ้ำเติมผู้ประสบภาวะวิกฤตหรือสถานการณ์นั้นๆ) ในอนาคตร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดรับฟังความคิดเห็นจึงน่าจะเป็นความหวังของวิชาชีพสื่อมวลชนที่สื่อสารด้วยภาษาที่เคารพและคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ (people-first language) ยิ่งขึ้น
มาตรฐานชุมชนทางสื่อสังคม ถือเป็นส่วนที่ควบคุมเนื้อหายากลำบากที่สุด ตัวอย่างล่าสุดสื่อสังคมระดับโลกอย่าง Facebook ออกจดหมายแถลงการณ์เพื่อจัดตั้ง Independent Oversight Board หรือคณะกรรมการกำกับดูแลมาตรฐานชุมชน (Community Standards) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลเนื้อหา (content) ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าพื้นที่สื่อสังคมจำนวนมากถูกใช้เป็นเครื่องมือเผยแพร่ถ้อยคำที่สร้างความเกลียดชัง (Hate speech) และความรุนแรง โดยเฉพาะการพุ่งเป้าโจมตีกลุ่มบุคคลด้วยเหตุผลทางชาติพันธุ์ ศาสนา เพศ หรือรสนิยมทางเพศ เช่นเดียวกับในสังคมไทยที่พบทัศนะตัดสินคุณค่า การผลิตซ้ำอคติโดยรัฐต่อกลุ่มประชากรเปราะบางที่มักเป็นเป้าการเหมารวม (Stereotype) และเลือกปฏิบัติให้ตกเป็นแพะรับบาป (Scapegoat) จากโรคติดต่อได้แก่ แรงงานข้ามชาติ ผู้ต้องกักในศูนย์กักตัวผู้ต้องกักของตม. หรือศาสนิกชนที่กลับมาจากปฏิบัติศาสนกิจ ด้วยการโจมตีเพียงอัตลักษณ์มากกว่าคำนึงถึงพฤติกรรมเสี่ยงรายบุคคล
พฤติกรรมประจานผู้อื่นย่อมเข้าข่ายความผิดอาญาฐานหมิ่นประมาท ด้วยการ “ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง" หรือการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาทั้งด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทําให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร โดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ" ปรากฏการณ์ดื้อแพ่งของผู้คนย่อมสะท้อนถึงนิติสำนึก (Legal consciousness) หรือท่าทีการรับรู้ ความตระหนักหรือสำนึกต่อระเบียบกฎหมายของสามัญชนหรือบุคคลทั่วไปในภาคปฏิบัติการจริง หรือที่เรียกว่า “กฎหมายมีชีวิต” (Living law) มากกว่าเพียงกฎหมายลายลักษณ์อักษรในตำรา
ข้อเสนอแนะนอกเหนือจากการใช้มาตรการทางกฎหมายในการปิดสถานที่ จำกัดกิจกรรมทางสังคมเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ รัฐพึงให้น้ำหนักต่อการรักษาความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งหลักประกันด้านสิทธิการตรวจรักษา ความปลอดภัย ความจำเป็นขั้นพื้นฐานโดยเฉพาะการมีงานทำและชดเชยรายได้ถ้วนหน้า ตลอดจนใช้มาตรการจิตวิทยาสังคมให้เข้าถึงผู้คนในทุกชนชั้นที่ได้รับผลกระทบ โดยจัดบุคลากรจากกรมสุขภาพจิตหรือคณะจิตวิทยา ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) เพื่อปฏิบัติงานติดตามฟื้นฟูสุขภาพจิตของคนในชุมชน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง คนไร้บ้าน การสร้างความเข้าใจต่อสาธารณะด้วยชุดข้อมูลโรคที่ถูกต้อง การสร้างพื้นที่กิจกรรมและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลดการตีตรา
ความสำเร็จจากการประเมินสมรรถนะด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) และการป้องกันการแพร่ระบาดด้วยการรักษาระยะห่างทางสังคม ยังจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาระยะห่างระหว่างการลงโทษทางสังคม กับการไม่ละเมิดต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพราะแท้จริงแล้วโลกกำลัง “ต่อสู้กับไวรัส ไม่ใช่ผู้คน” (Fight the Virus, not the People) ยิ่งสังคมให้ความเคารพ ไม่ตีตราและมองเห็นคุณค่าของผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย ก็ยิ่งจะกลายเป็นรูปธรรมของการ “ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” (No One left behind) หรือ “คนไทยไม่ทิ้งกัน” อย่างแท้จริง.
เอกสารประกอบการเขียน
- สมชาย ปรีชาศิลปะกุล (2558) การวิจัยกฎหมายทางเลือก แนวคิดและพรมแดนความรู้
- สังศิต พิริยะรังสรรค์ (2559) เศรษฐศาสตร์การเมือง การลงโทษโดยสังคม Social Sanctions
- การตีตราทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ดูที่ https://www.who.int/docs/default-source/searo/thailand/covid19-stigma-guide-th-final.pdf
- Facebook commitment to the Oversight Board ดูที่ https://about.fb.com/wp-content/uploads/2019/09/letter-from-mark-zuckerberg-on-oversight-board-charter.pdf
- Patrick Corrigan, On the Stigma of COVID-19 : Let’s separate the illness from the patient ดูที่https://www.psychologytoday.com/us/blog/the-stigma-effect/202004/the-stigma-covid-19
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)