Skip to main content
sharethis

“WALK ON Through the wind
WALK ON Through the rain
Through your dreams be tossed and blown
Walk on, walk on
WITH HOPE IN YOUR HEART”

ส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง You’ll never walk alone ของ Gerry and the Pacemakers – เด่นชัดสะดุดตาอยู่บนฝาผนังห้องนั่งเล่น บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของบ้านที่เรามาเยือนเป็นแฟนหงส์แดงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจใช้เนื้อร้องท่อนนี้คอยชุบชูปลอบประโลมจิตใจเพื่อให้อยู่ได้ด้วยความหวัง ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดตามรับรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา คงพอทันกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ต่อเนื่องถึงพฤษภาคมปี 2553 และอาจเคยผ่านตาภาพข่าวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เผยให้เห็นสิ่งที่ดูเหมือนเนื้อเยื่อปนคราบเลือดทะลักล้นจากตาขวา ผลจากความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ ในการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 10 เมษา แผลที่สดใหม่ ณ ขณะนั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่าต่อมาได้สร้างความบอบช้ำเสียหายให้แก่เจ้าของดวงตาได้มากขนาดไหน

เรากำลังพูดถึง เบิร์ด สันติพงษ์ – ผู้สูญเสียดวงตาข้างขวาอย่างถาวร ภายหลังติดตามพ่อแม่เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง จากบัณฑิตจบใหม่จากรั้วมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ผู้ไม่เคยสนใจการเมืองหรือประเด็นสังคม ความสงสัยใคร่รู้ต่อความไปเป็นในบ้านเมือง กอปรกับคำบอกเล่าในเชิงลบต่อผู้ชุมนุมจากเพื่อนสนิทของตน นำพาให้เขาเริ่มติดตามครอบครัวไปเป็นแนวร่วมอย่างเงียบๆ เพื่อค้นหาคำตอบ และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

เบิร์ดในปัจจุบันดูต่างจากภาพในวันนั้นไม่มากนัก ในทางกายภาพอาจดูไม่ได้ต่างจากชายหนุ่มวัยทำงานทั่ว ๆ ไป  มีครอบครัว มีปัจจัยพื้นฐานครบถ้วน และดูมีความสุขดี หากไม่สังเกตคงไม่ทันได้รู้ว่าเขาถูกพรากสิ่งสำคัญไปในช่วงวัยที่กำลังงอกงาม เบิร์ดบอกกับเราว่า เขาพยายามใช้ชีวิตให้ปกติที่สุด และแม้แต่คนในครอบครัวเองก็ลืมไปแล้วว่าเขามองเห็นได้ด้วย ตาเพียงข้างเดียว...  

เบิร์ดสูญเสียดวงตาข้างขวาจากการยิงกระสุนยางของเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณด้านหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา กระสุนพุ่งตรงเข้าสู่ดวงตาขณะที่เขากำลังก้มหน้าล้างพิษแสบร้อนจากแก๊สน้ำตา การมองเห็นของเขามืดดับแทบจะในทันทีนับจากนั้น

หลังผ่านเหตุการณ์มาได้ 7 วัน แพทย์ตัดสินใจทำการผ่าตัดเอาดวงตาข้างขวาออกหลังปล่อยให้เบิร์ดปรับสภาพจิตใจว่าเขาไม่อาจกลับมามองเห็นได้ดังเดิมอีก เบิร์ดผ่านการผ่าตัดอีกอย่างน้อย 2-3 ครั้ง ทดแทนดวงตาข้างเดิมด้วยลูกแก้วและตาปลอมตามลำดับ

การมองเห็นด้วยตาเพียง 1 ข้าง ยังคงสร้างอุปสรรคในการใช้ชีวิตจนถึงปัจจุบัน เช่น การกะระยะ หรือการเดินข้ามถนนที่หวุดหวิดจะเกิดอุบัติเหตุอยู่หลายคราวเพราะวิสัยทัศน์ที่มีอยู่จำกัด ​แม้เวลาผ่านมาเนิ่นนาน การหยิบแก้วน้ำตรงหน้าก็ยังเป็นเรื่องไม่ง่าย และตาข้างขวามักมีปัญหาการติดเชื้อหรือตากุ้งยิงอยู่เป็นระยะ เนื่องจากการใช้ตาปลอมก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อได้ง่าย การถอดล้างทุกวันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อเยื่อบุภายใน

เบิร์ดเล่าย้อนให้ฟังอีกครั้งถึงเหตุการณ์และบรรยากาศในช่วงเวลานั้น สภาพความเป็นอยู่ในที่ชุมนุมของชาวบ้านที่มาจากต่างจังหวัด คนแก่เฒ่าและเด็กๆ ซึ่งขัดกับคำบอกเล่าจากเพื่อนสนิทของเขามากนัก จนกระทั่งที่มาที่ไปว่าเพราะเหตุใดเขาและพ่อแม่จึงเดินทางจากบ้านกลับเข้าสู่ที่ชุมนุมอีกครั้ง แม้ว่าจะได้รับทราบแล้วว่าเจ้าหน้าที่กำลังเข้ายึดคืนพื้นที่ ความทรงจำของเบิร์ด ดูใหม่ สด และบอกเล่าได้ละเอียดจนเรามองเห็นภาพ ราวกับ 10 ปีที่ผ่านมานี้ เวลาไม่เคยพรากความทรงจำเหล่านี้ไปจากเขาได้เลย

เบิร์ดเน้นย้ำว่าแม้ก่อนหน้านี้จะมีการปะทะกันมาก่อนแล้วที่สถานีไทยคม ลาดหลุมแก้ว แต่ก็ไม่ถึงกับรุนแรงมากนัก เขาเองคาดไม่ถึงว่าในเวลาต่อหลังจากนั้น สถานการณ์จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และเจ้าหน้าที่รัฐใช้มาตรการกับผู้ชุมนุมจนถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตมากมายขนาดนี้ ภาพนาทีที่เจ้าหน้าที่โยนกระป๋องแก๊สน้ำตาลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ไล่เรียงไปจนถึงการเริ่มระดมยิงแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และลูกแบลงค์ ถูกบอกเล่ามาเป็นลำดับ ตอกย้ำให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า รัฐสามารถกระทำรุนแรงต่อผู้ชุมนุมด้วยวิธีการที่เราคาดไม่ถึงได้เพียงไหน  

หลังการรักษาตัวจนหายดีได้ไม่นาน เบิร์ดมีโอกาสได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไปได้ไม่ไกลนัก ด้วยข้อจำกัดของการใช้ตาข้างเดียวที่เหลือ เขาจำเป็นต้องออกจากงานเพราะการจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานจะเกิดอาการระคายเคือง กระจกตาเป็นรอยและท่อน้ำตาอุดตันซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อการสูญเสียดวงตาอีกข้างเป็นอย่างมาก

ปัจจุบัน เบิร์ด มีอาชีพที่มั่นคง มีครอบครัวและคนรักที่สมบูรณ์ แต่เขาไม่ได้เป็นเบิร์ดที่ตามหาคำตอบของคำถามอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนสิ่งที่เขาสงสัยจะค่อยๆ ถูกทำให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้นแล้ว นับตั้งแต่วันนั้น

เมื่อเราถามเบิร์ดว่า 10 ปีที่ผ่านมา สำหรับเขา มันพรากหรือให้อะไรแก่เขาบ้าง คำตอบของเบิร์ดทำให้เรามองเห็นความหวังและอบอุ่นใจ

“ผมมองว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นบทเรียนที่สำคัญ ที่ประชาชนควรต้องเรียนรู้และเท่าทันตราบใดที่ทหารยังคงออกมาเคลื่อนไหว ตราบใดที่ชนชั้นนำยังไม่เคยมองเห็นประชาชนเป็นคนเท่ากัน ตราบใดที่เรายังไม่อาจแสวงหาข้อเท็จจริงและความเป็นธรรมได้จากกระบวนการยุติธรรม การเคลื่อนไหวเรียกร้องของภาคประชาชนก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นสิทธิที่พึงกระทำ ที่ผ่านมาประชาชนถูกลิดรอนสิทธิในการเรียกร้องเสมอมา”

“ผมว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้ยังอาจเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต แต่ผมไม่อยากเห็นการสูญเสียหรือความตายอีก การเรียกร้องสิทธิของประชาชนจะต้องกระทำได้ แต่เราควรต้องรู้ทันและป้องกันตัวเองให้มากที่สุด เราไม่สามารถไว้ใจเจ้าหน้าที่รัฐได้อีกต่อไปแล้ว ที่ผ่านมาไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะกระทำรุนแรงได้ขนาดนั้น แต่ถ้าทุกคนเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เราก็ต้องอยู่กันไปแบบนี้”

“ผมไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยนะ จริงๆ แต่รู้สึกผิดหวังและรู้สึกโกรธมากกว่าที่รัฐทำกับประชาชนแบบนี้ ทั้งที่พวกเราไปเรียกร้องอย่างสันติ มือเปล่า แต่เขากลับเอาอาวุธสงครามมาฆ่าประชาชนกลางเมือง มันโหดร้ายเกินไป”

เมื่อเราถามว่า หากมีวาระโอกาสที่สมควร เบิร์ดจะออกไปเรียกร้องสิทธิอีกหรือไม่ เบิร์ดยิ้มกว้างพร้อมคำตอบที่รวดเร็ว “ผมไปแน่นอน มันเป็นสิทธิที่ประชาชนควรทำ และกฎหมายก็เขียนไว้นี่ครับว่าเราทำได้”

เบิร์ดอยากให้สังคมไทยมอง 10 ปีที่ผ่านมานี้อย่างไร ?

ผมอยากให้มองว่ามันคือโศกนาฏกรรมที่รัฐทำกับประชาชน ไม่เห็นหัวประชาชน อยากให้ทุกคนมองไว้เป็นบทเรียน และมองสิ่งที่รัฐทำกับประชาชนว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่เชื่อตามคำกล่าวอ้างของรัฐ หรือเชื่อโดยไม่มีการพิสูจน์ อยากให้มีการนำภาพมาเผยแพร่ สำหรับผม ผมโอเคนะกับการรำลึกทุกๆ ปี คนจะได้ไม่ลืมเลือนสิ่งเหล่านี้ ผมรู้สึกดีใจที่เด็กรุ่นใหม่ๆ มีความสนใจและตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น และสนใจในเชิงลึกด้วย... การเมืองบ้านเรามันวนลูปนะ ใช้วาทกรรมเดิมๆ ในการใส่ร้ายป้ายสีกัน

ผมเชื่อว่าด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ล้ำหน้ามากขึ้น เช่น การไลฟ์สด หรือการแชร์ภาพที่รวดเร็ว อาจทำให้รัฐลังเลมากขึ้นที่จะกระทำรุนแรงต่อประชาชนหลังจากนี้

แสดงว่าคุณคิดว่าความรุนแรงอาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก?

มีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ถ้ามีชุมนุมยืดเยื้อ รัฐเค้าไม่ได้แคร์คนเห็นต่างหรอก เพียงแต่เราต้องระมัดระวังและเซฟตัวเองให้มากขึ้น

ในมุมมองของคนที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่เข้าใจ เขาอาจมองว่าเราออกมาเอง และได้เงินเยียวยาไปแล้ว น่าจะคุ้มแล้ว มีความคิดเห็นยังไง?

มันไม่คุ้มหรอกครับ ผมไม่อยากได้เงิน ไม่ตายก็หาเองได้ ผมอยากได้ตาของผมคืนมากกว่า มันลำบากอ่ะ ที่เขาคิดแบบนั้น ก็เพราะเขาไม่สนใจการเมือง ก็เพราะเขาเห็นแก่ตัว ไม่เอาอะไรเลย คุณอาจจะสุขสบายไม่เดือดร้อน แต่คนที่เขาออกมาก็เพราะเขาเดือดร้อนไง เขาไม่อยากให้ประเทศเป็นแบบนี้ ถ้าเขาเรียกร้องแล้วชนะ ประเทศดีขึ้น พวกคุณก็สบายไปด้วย ทั้ง ๆ ที่คุณก็อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร

ถ้าอยากให้สื่อสารไปถึงคนรุ่นใหม่ หรือคนที่ไม่ทันเหตุการณ์?

ผมอยากบอกว่าที่บ้านเมืองเราวนลูปอยู่แบบนี้ เพราะว่าประชาชนไม่ตื่นตัวเท่าที่ควร มีเพียงกลุ่มน้อยเท่านั้น ทำให้เกิดพลังไม่มากพอที่จะการเปลี่ยนแปลงหรือยุติการวนลูปนี้ ทุกคนอย่าคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว เพราะการกระทำของคุณตั้งแต่ลืมตาตื่นมายันเข้านอน ตั้งแต่คุณเกิดจนคุณตาย การเมืองมันมีผลกับคุณตลอด คุณดูประเทศอื่นๆ รอบข้างบ้านเราสิ เขาพัฒนานำเราไปเยอะแล้วทั้งที่แต่ก่อนเราเป็นประเทศที่จะเป็นเสืออีกตัวของเอเชีย กลายมาเป็นแมวหลับ ไม่ได้พัฒนามานานมากแล้ว ทั้งที่ทรัพยากรทุกอย่างเราดีหมดแต่ถูกกลุ่มชนชั้นนำมากดไว้ ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตให้ดีกว่านี้ คุณก็ต้องตื่นตัวให้มากขึ้น

ถ้าวันหนึ่งฝ่ายประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะ จะมีโอกาสที่กองทัพกลับมามีอำนาจ หรือการเมืองไทยกลับมาวนลูปได้อีกไหม ?

ผมคิดว่าถ้าวันนั้นเราชนะ ก็ต้องมีการปฏิรูป ไม่ติดอาวุธให้กองทัพ ไม่ให้เขามามีอำนาจได้ขนาดนั้น เพราะถ้าชนะแล้วยังเหมือนเดิม ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ทั้งโครงสร้าง ทั้งระบบ มันก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก ทั้งระบบทหาร และระบบราชการ

000

เราจบบทสนทนาในวันนั้นและร่ำลากันด้วยความรู้สึกอุ่นน้อยๆ ในช่องอก นอกจากเขาไม่เคยสูญเสียความหวังและกำลังใจที่อยากเห็นประเทศดีขึ้นกว่านี้ เขายังสร้างความหวังและกำลังใจให้คนอื่นๆ ได้อีกด้วย …เบิร์ด สันติพงษ์ ผู้สร้างแสงสว่างท่ามกลางความมืด

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net