Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

คำถามง่ายๆ แต่ตอบแสนจะยากคำถามหนึ่ง คือ “การเมืองคืออะไร?” ซึ่งผมมักจะยกขึ้นมาเสมอสำหรับผู้ที่กำลังเบื่อการเมืองและผู้ที่พยายามไม่ให้การเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวในกิจการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารราชการหรือองค์กรตรวจสอบอำนาจรัฐ หรือในการใช้อำนาจตุลาการ แม้กระทั่งภาคประชาคมที่ต้องการผลักดันกฎหมายแต่ก็กลัวนักการเมืองเข้ามายุ่ง  ฯลฯ โดยทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักความหมายที่แท้จริงของคำว่าการเมืองเลย แต่ก็พากันปฏิเสธและเกลียดกลัว “การเมือง” เสียแล้ว

เมื่อเรายกคำถามนี้ขึ้นมาถามว่า “การเมืองคืออะไร?” เราก็จะได้คำตอบที่หลากหลาย อาทิ การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐและการบริหารประเทศ/ การเมืองเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายของรัฐ/ การเมืองเป็นเรื่องของการประนีประนอมผลประโยชน์/ การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง โดยเห็นว่าเนื่องจากทรัพยากรของชาติมีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ผู้คนที่ต้องการใช้ทรัพยากรนั้นมีอยู่มากและความต้องการใช่ไม่มีขีดจำกัด การเมืองจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่คนในสังคมไม่อาจตกลงกันได้หรือเกิดความขัดแย้งขึ้น ฯลฯ

คำว่า “การเมือง”นั้นตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Politics” ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษา   กรีกว่า “Polis” ที่แปลว่า “เมือง” ซึ่งต้องมีการจัดการ โดยบรรดานักรัฐศาสตร์ทั้งหลายได้ให้ความหมายของคำว่าการเมืองไว้อย่างหลากหลาย  อาทิ

เพนนอคและสมิธ (Pennock and Smith) กล่าวว่า การเมือง หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับอำนาจ สถาบันและองค์กรในสังคมที่ได้รับการยอมรับว่ามีอำนาจเด็ดขาดครอบคลุมสังคมนั้น ในการสถาปนาและทำนุบำรุงรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม มีอำนาจในการทำให้จุดประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคมได้บังเกิดผลขึ้นมา และมีอำนาจ ในการประนีประนอมความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในสังคม

เดวิด อีสต์ตัน (David Easton) กล่าวว่า การเมืองเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในการจัดสรรแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าต่างๆ ให้แก่สังคมอย่างชอบธรรม (the authoritative allocation of values to society)

ชัยอนันต์ สมุทวณิช กล่าวว่า การเมืองเป็นเรื่องของการแข่งขันกันเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการแบ่งปันคุณค่าที่ให้ประโยชน์แก่ฝ่ายตนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ (the competition for the authority to determine the authoritative allocation of values to society)

แต่ผู้ที่นิยามความหมายของคำว่าการเมืองที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากที่สุด คือ ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ปรมาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่กล่าวว่า “การเมือง คือ การได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อที่จะตัดสินว่าใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร" (Politics is,who gets “What”, “When”, and “How”)

คำว่า “อำนาจ” ในที่นี้หมายความถึงพลังอะไรบางอย่างที่จะสามารถบังคับ ให้คนหรือกลุ่มบุคคลที่มีพลังน้อยกว่ากระทำตามที่ต้องการ เช่น พ่อแม่มีอำนาจที่จะบังคับให้ลูกไปโรงเรียน/ ตำรวจมีอำนาจบังคับให้ผู้คนปฏิบัติตามกฎจราจร /กลุ่มโอเปกรวมตัวกันเพื่อสร้างอำนาจในการต่อรองราคาน้ำมันในตลาดโลก ฯลฯ โดยอำนาจอาจจะอยู่ในรูปแบบอะไรก็ได้ เช่น ข้อมูลข่าวสาร ฐานะทางการเงิน เกียรติยศทางสังคม เป็นต้น

การเมืองเกิดจากความเป็นจริงที่ว่า ความจำเป็นต่างๆ ของมนุษย์มีจำกัด เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจ สถานภาพทางสังคม ในขณะที่ความต้องการของมนุษย์มีอยู่อย่างไม่จำกัด การเมืองจึงเกิดขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นกฎเกณฑ์ในการแบ่งสรรความจำเป็นต่างเหล่านี้ ซึ่งต้องเกี่ยวพันกับ “อำนาจ” อย่างเลี่ยงไม่ได้

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าการเมืองมิใช่เป็นเพียงเรื่องที่รัฐบาลจะทำอะไร รัฐสภาจะออกกฎหมายอะไร เทศบาลจะสร้างเตาเผาขยะที่ไหน ฯลฯ แต่เกี่ยวพันไปในทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง ที่เกี่ยวพันกับการได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อที่จะตัดสินว่าใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร ดังนั้น การเมืองย่อมแทรกซึมไปทุกที่นับตั้งแต่ระดับใหญ่สุดคือระดับระหว่างประเทศไปจนถึงระดับเล็กสุด เช่น การตัดสินใจว่าจะเข้าร่วม CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership) หรือไม่ การรับหรือไม่รับผู้ลี้ภัย การเมืองในรัฐสภา การเมืองในชุมชนหรือหมู่บ้าน หรือแม้กระทั่งการเมืองในองค์กรหรือการเมืองในสำนักงาน ที่มีการต่อสู้ ช่วงชิงยศ ช่วงชิงตำแหน่งและผลประโยชน์ต่างๆ อยู่เสมอ

การดำเนินการทางการเมืองนั้นรวมไปถึงไม่ว่าจะเป็นการกำหนดจุดสร้างโรงไฟฟ้าหรือการสร้างเขื่อน /การจะขึ้นหรือลดภาษี/ การสรรหา สว./ การสรรหาคณะกรรมการในองค์กรอิสระทั้งหลาย/ การเลือกตั้งคณะกรรมการในองค์กรวิชาชีพทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นวิชาชีพใดก็ตาม (รวมทั้งองค์กรตุลาการด้วย) / การตกลงกันภายในกลุ่มพลังต่างๆ ว่าจะกำหนดแนวทางการต่อสู้อย่างไร/การแย่งชิงตำแหน่งหรือการแยกนิกายในแต่ละศาสนานี่ก็คือการเมือง หรือแม้กระทั่งในหน่วยเล็กๆ เช่น การเลือกหัวหน้าชั้น เป็นต้น

ฉะนั้น ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์นี้ เราไม่สามารถหลีกหนีการเมืองไปได้ แม้แต่อริสโตเติล (Aristotle) ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นบิดาของวิชารัฐศาสตร์ยังกล่าวไว้ว่า ”มนุษย์เป็นสัตว์การเมือง (…man is by nature a political animal) ” การที่พยายามจะไม่ให้มีการเมืองในกิจกรรมที่จะต้องแบ่งสรรอำนาจ จึงขัดธรรมชาติและเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าเราจะจัดสรรอย่างไรให้มีข้อขัดแย้งให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด

แทนที่เราจะเบื่อการเมืองหรือหลีกหนีการเมือง (ซึ่งหนีไม่พ้น - unavoidable) เราควรจะกลับมามองการเมืองอย่างพินิจใคร่ครวญว่าเหตุแห่งความยุ่งยากทั้งหลายทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นเกิดจากอะไร ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายสาดใส่เข้าหากันนั้นจริงและเท็จแค่ไหน เราฟังความครบทุกข้างแล้วหรือไม่ ก่อนที่เราจะตัดสินใจเลือกข้าง (ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีเฉพาะฝ่ายที่เอารัฐบาลกับไม่เอารัฐบาลเท่านั้น)

ฉะนั้น แทนที่เราจะเกลียดกลัวการเมือง เพราะชีวิตเราหนีการเมืองไม่ได้  เราก็ต้องหาวิธีที่จะอยู่กับการเมืองอย่างฉลาด โดยเรียนรู้วิธีที่จะจัดการกับบรรดาอำนาจทั้งหลาย เพื่อที่จะตัดสินว่าใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร (Politics is,who gets “What”, “When”, and “How”) นั่นเอง

 

หมายเหตุ:  เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net