Skip to main content
sharethis

ศิริกัญญา รอง หน.ฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล อัด ‘งบ 64’ ต้องรื้อใหญ่ แบบไม่เห็นเค้าเดิม ประกาศกร้าว พร้อมให้ ‘ยุบสภา’ คืนอำนาจให้ประชาชน ขณะที่ โรม อัดงบฯ ชายแดนใต้เหมือน 'เปิดห้องทดลองมนุษย์'

 

3 ก.ค.2563 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานว่า ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล อภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยระบุว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตที่ดิ่งลึกกว่าทุกครั้ง หรือที่เรียกว่า ‘วิกฤตซ้อนวิกฤต’ นั่นคือวิกฤตการณ์ด้านสุขภาพที่ส่งผลจนทำให้เกิดเป็นมหาวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบก็คือคนรากหญ้า 

“การส่งออกที่ติดลบ 30% หมายถึงคนงานในโรงงานรถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ คนงานในโรงงานผลิตชิปอิเล็กทรอนิกส์ และคนงานในโรงงานผลิตสินค้าส่งออกอื่นๆ กำลังจะตกงาน การลงทุนภาคเอกชนที่ลบ 13% มันหมายถึงคนที่กำลังว่างงาน และเด็กจบใหม่ในวันนี้ จะหางานได้ยากขึ้นในอนาคต นักท่องเที่ยวที่หายไป 30 กว่าล้านคนจาก 40 ล้านคน คือ SMEs อีกเป็นล้านราย ที่ขาดรายได้ และกำลังจะปิดตัวลง” รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าว

ศิริกัญญา กล่าวว่า ภายใต้วิกฤติขนาดนี้ที่ไม่เคยเจอมาก่อนในช่วงชีวิต ประชาชนที่เฝ้าติดตามการอภิปรายงบประมาณต่างมีคำถามในใจว่า งบประมาณ วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท จะช่วยให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นและผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างไร ถ้าเปรียบเศรษฐกิจไทยเหมือนเรือ ก็เป็นเรือแป๊ะที่แล่นเอื่อยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยปัญหาสงครามการค้า งบประมาณล่าช้า และภัยแล้ง แต่เมื่อเจอวิกฤต โควิด-19  กลับเหมือนเจอพายุลูกใหญ่ซัดใส่เรือแป๊ะจนไม่รู้ทิศรู้ทาง ถ้าไม่ซ่อมฟื้นฟูเรือ ตั้งหางเสือใหม่ จะเดินทางผิด แบบไม่มีวันถึงจุดหมายได้ ยิ่งเมื่อได้ฟังคำแถลงงบประมาณของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะในคำแถลงงบประมาณ  ไม่มีส่วนใดที่ตอบคำถามของประชาชนเลย ตลอด 1 ชั่วโมงครึ่ง มี 0 คำถ้วนที่พูดถึงการจ้างงานในคำแถลงงบประมาณ

“ในสถานการณ์วิกฤตที่เราเผชิญ เราต้องการวิสัยทัศน์  ยุทธศาสตร์  แผนบูรณาการ  โครงการ  และงบประมาณแบบใหม่  แต่น่าเสียดายที่งบประมาณ 64 เป็นงบที่ทำออกมาเหมือนประเทศไม่มีวิกฤต 55 แผนงานพื้นฐานและแผนงานยุทธศาสตร์ 14 แผนบูรณาการ นอกจากจะเต็มไปด้วยถ้อยคำสวยหรูแต่นามธรรมแล้ว ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะนำประเทศออกจากวิกฤตได้อย่างไร หลายแผนควรจะชะลอไปก่อน หลายแผนไม่ควรจะมีเลยด้วยซ้ำ และโครงการของงบประมาณ ปี 64 แทบจะไม่มีอะไรต่างไปจากงบประมาณปี 63 เลย ไม่มีการนำเอาโควิดมาเป็นสมมติฐาน เป้าหมาย ตัวชี้วัดต่างๆ ยังเหมือนกับไม่สะทกสะท้านกับปัญหาวิกฤต โครงการไม่เปลี่ยนยังพอว่า แต่ถ้าเป้าหมายไม่เปลี่ยน จะไม่ช่วยแก้อะไรได้เลย เราควรหยุดซื้ออาวุธสักปีสองปี ประเทศคงไม่มีปัญหา อาวุธเก่าไม่ได้ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นคง  แต่ประชาชนจะรู้สึกไม่มั่นคง เมื่อเรามีอาวุธใหม่ แต่อยู่ในมือของผู้นำประเทศที่มองประชาชนเป็นศัตรู วันนี้คงเห็นแล้วว่าประเทศที่มีความมั่นคงไม่ใช่ประเทศที่มีกำลังทหารหรือแสนยานุภาพทางอาวุธ แต่เป็นประเทศที่มีความมั่นคงด้านวัคซีน  ยา  เครื่องมือแพทย์  และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เราต้องการความมั่นใจว่าเราจะได้รับบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพทั้งในช่วงวิกฤต และในยามปกติ แต่สิ่งที่ปรากฏในงบ 64 คือ งบกลาโหมยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงบหลังโอน  งบเรือดำน้ำยังอยู่  งบจัดซื้ออาวุธใหม่ยังอยู่  งบผูกพันกลาโหมที่ตั้งขึ้นเพื่อจัดซื้ออาวุธก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”  รองหัวหน้าพรรคฝ่ายนโยบาย พรรคก้าวไกล กล่าว

ในช่วงท้าย สิริกัญญา กล่าวอีกว่า ไม่เห็นเหตุผลใดๆ ที่จะยอมรับร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ นอกจากจะต้องรื้อใหญ่ แบบไม่เห็นเค้าเดิม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว รัฐบาลชุดจึงไม่หลงเหลือความชอบธรรมใดๆ ที่จะบริหารประเทศ บริหารเศรษฐกิจต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่เห็นหัวประชาชน ไม่เคารพประชาชนที่เป็นเจ้าของเงินงบประมาณ 

“ขอเสนอว่าอย่าหยุดแค่ปรับ ครม. ท่านควรกลับไปย้อนถามประชาชนอีกครั้งว่า ยังต้องการให้นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน บริหารประเทศต่อไปหรือไม่ ท่านควรจะย้อนกลับไปถามประชาชนอีกครั้งว่า ต้องการนโยบายที่จะนำประเทศฝ่าวิกฤตครั้งนี้อย่างไร พรรคอื่นจะพร้อมหรือไม่เราไม่ทราบ แต่พรรคก้าวไกลพร้อมแล้วที่จะถามประชาชนว่ายังไว้วางให้รัฐบาลชุดเดิมบริหารประเทศอยู่หรือไม่ เราพร้อมแล้วที่ขอมติจากประชาชนอีกครั้ง ย้ำอีกครั้งว่า สิ่งที่เราอยากให้ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และไม่ทันใจ ไม่ใช่ทันใจพวกเรา ก้าวไกล แต่ไม่ทันใจประชาชน คือตัวท่านนายกรัฐมนตรีเอง แต่แทนที่ท่านจะตระหนัก กลับเอาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์มากลบเกลื่อนความผิดพลาด ท่านต้องปรับทัศนคติ เลิกคิดว่าคนเห็นต่างจากท่าน เป็นพวกชังชาติ พวกไม่หวังดี เลิกป้ายสีว่าคนเห็นต่างจากท่าน เป็นพวกคิดร้ายต่อสถาบันหลักของชาติ” สิริกัญญา กล่าวพร้อมย้ำว่า ประชาชนรอการเปลี่ยนแปลงมา 6 ปี และจะรอไม่ได้อีกต่อไป จึงถึงเวลาแล้วที่ควร ‘ยุบสภา’ เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน

โรม อัดงบฯ ชายแดนใต้เหมือน 'เปิดห้องทดลองมนุษย์'

ขณะที่วานนี้ (2 ก.ค.63) รังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ โดยระบุว่าว่าหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้นั้น คือการเจรจาสันติภาพกับฝ่ายผู้เห็นต่าง ดังที่ Peace Survey เคยทำผลสำรวจไว้เมื่อต้นปี 2562 ว่าประชาชนในพื้นที่ 65% เห็นว่าการพูดคุยสันติภาพเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งเมื่อช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ปรากฎว่ามีหลายฝ่ายได้แสดงความต้องการให้เกิดเจรจาสันติภาพอย่างชัดเจน ดังนั้นในปีงบประมาณ 2564 นี้จึงควรเป็นปีที่การเจรจาสันติภาพต้องเป็นวาระที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ แต่ทิศทางของสถานการณ์จะมุ่งไปสู่การเจรจาสันติภาพ และมีแผนยุทธศาสตร์ที่จะนำชายแดนภาคใต้กลับสู่สภาวะปรกติ แต่ปรากฏว่ารายละเอียดของงบประมาณกลับเปลี่ยนไปจากปีก่อนๆ น้อยมาก

รังสิมันต์ แบ่งประเภทของโครงการต่างๆ ในแผนบูรณาการนี้ตามวัตถุประสงค์ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. โครงการด้านการเยียวยาและฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพ 2. โครงการด้านการพัฒนา 3. โครงการด้านความมั่นคง 4. โครงการด้านการปรับทัศนคติและโฆษณาชวนเชื่อ โดยเมื่อดูสัดส่วนของงบประมาณแล้ว งบโฆษณาชวนเชื่อก็ยังคงมีสัดส่วนสูงที่สุด ถึง 42.1% ตามมาด้วยงบความมั่นคง สัดส่วนสูงถึง 35.8% ในขณะที่งบกระบวนการสันติภาพที่ควรได้รับความสำคัญเป็นอย่างสูง กลับมีสัดส่วนเพียง 16.4% เท่านั้น สัดส่วนงบทุกประเภทแทบไม่ต่างจากปีที่แล้ว

โครงการด้านโฆษณาชวนเชื่อ “ส่งเสริมและเผยแพร่ความจริงที่ถูกต้อง”ที่เคยอภิปรายกันไปแล้วว่าแท้จริงมันคืองบล้างสมอง ส่งทหารเข้าโรงเรียนไปปลูกฝังค่านิยมแบบทหารๆ กับเด็กนักเรียน พยายามครอบงำประชาชนให้คิดแต่ในแบบที่กองทัพต้องการ เพราะเรากลับพบว่ามีโครงการ “เสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อสันติสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้” เข้ามาแทนที่ แบบที่รายละเอียดแทบจะถอดแบบกันมา นี่คือความพยายามตบตาสภาใช่หรือไม่? ในเมื่อปีที่แล้วรัฐบาลเห็นว่าสภาไม่พอใจกับชื่อโครงการ เลยเปลี่ยนชื่อมันเสียก็สิ้นเรื่อง พฤติกรรมแบบนี้คือการเห็นสภาผู้แทนราษฎรเป็นเพียงตรายางเหมือนสมัย สนช. คิดว่าแค่ตกแต่งเอกสารให้สวยๆ ก็เอามาให้เห็นชอบได้สบายๆ ใช่หรือไม่?

โครงการเพิ่มประสิทธิภาพงานข่าวกรองและฐานข้อมูลความมั่นคง ปีนี้ตั้งงบถึง 926 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมา 17 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงบ “ข่าวกรองเชิงรุก” ของ กอ.รมน. ถึง 369 ล้านบาท โครงการนี้คือการสร้างสายข่าว ซึ่งก็เคยอภิปรายไปแล้วว่ามันคือการสร้างความแตกแยกหวาดระแวงในพื้นที่ เปิดช่องให้เกิดการใส่ร้ายป้ายสีและคอร์รัปชัน นอกจากนี้ กอ.รมน. ยังมีงบสนับสนุนและใช้งานเครือข่ายมวลชนเพื่องานความมั่นคงในชายแดนภาคใต้ ซึ่งอยู่นอกแผนบูรณาการฯ อีก 665 ล้านบาท เท่ากับว่า กอ.รมน. มีงบเพื่อใช้ประโยชน์ในงานสายข่าวชายแดนภาคใต้ถึง 1,034 ล้านบาท

"เว็บไซต์ pulony.blogspot.com ที่สนับสนุนโดย กอ.รมน. ในการทำปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ อันเป็นการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน ยุยงให้เกิดความไม่สงบต่อไป เมื่อเช้านี้ ผมได้ลองเปิดเว็บนี้ดูอีกครั้ง มันยังอยู่ครับ และยังอัปเดตบทความสร้างความแตกแยกอยู่จนทุกวันนี้ โจมตีองค์กรสิทธิมนุษยชน โจมตีประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาลอย่างไม่มีหยุดหย่อน นี่คือส่วนหนึ่งของการเพิ่มประสิทธิภาพข่าวกรองด้วยหรือเปล่า? เว็บแบบนี้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างสันติภาพอย่างไร? และถ้าได้งบปี 64 ไป เว็บนี้ก็จะยังอยู่ทำ IO แบบนี้ต่อไปอีกใช่หรือไม่?" รังสิมันต์ อภิปราย

การติดตั้งกล้องวงจรปิดนั้น รังสิมันต์ อภิปรายว่า เป็นโครงการผูกพันงบประมาณตั้งแต่ปี 60 ถึง 65 มีวงเงินรวมถึง 611 ล้านบาท คณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ เคยลงพื้นที่ชายแดนภาคใต้เพื่อตรวจสอบการใช้มาตรการของรัฐ เราพบว่าทิศทางงานข่าวกรองของฝ่ายความมั่นคงเริ่มหันไปหาการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีมากขึ้น ดังนั้นเราจะพบเห็นการติดกล้องวงจรปิดเพื่อจับภาพบุคคล ระบบการจดจำเอกลักษณ์ทางร่างกาย นำมาบังคับใช้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเลือกปฏิบัติและปราศจากความยินยอม

"ยกตัวอย่างเรื่องการเก็บ DNA ของบุคคล รู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้ตำรวจและทหารได้ดำเนินการเก็บ DNA ของประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เป็นจำนวนมาก ทั้งการเก็บแบบพุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิมที่มีคนในครอบครัวถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบ และการเก็บแบบเหมารวมกลุ่มบุคคลในชุมชนหรือองค์กรต่างๆ รวมถึงอาจถูกเก็บได้หลายครั้ง จากข้อมูลที่ผมได้รับทราบมา ในปี 62 มีผู้ที่ถูกเก็บ DNA ทั้งชาวบ้านทั่วไป เด็กนักเรียน ครู ผู้สูงอายุ รวมเป็นจำนวนกว่า 600 คนเป็นอย่างน้อย หรือแม้กระทั่งทหารเกณฑ์ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่เกณฑ์เข้ามากว่า 19,000 คนก็ถูก “ขอให้ยินยอม” ให้เก็บ DNA เช่นกัน นี่เป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างชัดแจ้ง และเป็นการปฏิบัติต่อพลเมืองราวกับเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะก่ออาชญากรรม ผมอยากถามใจของเพื่อน ส.ส. ทุกท่าน ณ ที่นี้ว่าถ้าวันนี้ตำรวจสภามาบังคับเก็บ DNA จากพวกท่าน พวกท่านจะยังคิดว่าตัวเองถูกมองเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่หรือไม่?" รังสิมันต์ อภิปราย

เรื่องการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์มือถือ “2 แชะอัตลักษณ์” นั้น รังสิมันต์ อภิปรายว่า นี่คือนวัตกรรมที่เริ่มต้นมาจากการเก็บข้อมูลบุคคลในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้ติดตามตัว โดยบังคับให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะซื้อซิมใหม่หรือมีใช้ซิมเดิม ต้องมาลงทะเบียนผ่านระบบนี้ โดยจะต้องถูกเก็บข้อมูลรูปถ่ายและบัตรประจำตัวประชาชน และในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ระบบนี้ก็ค่อยๆ คืบคลานจากชายแดนภาคใต้มาสู่ประชาชนทั่วประเทศ ทุกวันนี้ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนถ้าซื้อซิมใหม่ก็จะต้องถูกเก็บข้อมูลเช่นกัน แต่สำหรับผู้ใช้ซิมเดิมอาจยังไม่ต้องถูกบังคับให้ลงทะเบียนใหม่เหมือนในชายแดนภาคใต้ ถามว่าเพราะอะไร เรื่องนี้สภาความมั่นคงแห่งชาติและ กสทช. เคยมาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ว่าที่ยังไม่บังคับเพราะยังกลัวจะถูกมองว่าละเมิดสิทธิ ซึ่งก็น่าประหลาดใจไม่น้อยว่าแล้วที่บังคับกับคนชายแดนภาคใต้ล่ะ ท่านไม่กลัวถูกมองว่าละเมิดสิทธิด้วยหรืออย่างไร? และที่ชี้แจงเช่นนี้หมายความว่าท่านกำลังรอจังหวะที่จะนำมาบังคับใช้กับคนทั่วประเทศอยู่ใช่หรือไม่?

การกำหนดงบประมาณเช่นนี้ รวมทั้งการคงกฎหมายอย่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน, พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือกฎอัยการศึกในชายแดนภาคใต้ เป็นแนวนโยบายที่เกิดจากความไม่ไว้ใจประชาชน ไม่เชื่อในกระบวนการพูดคุย คิดแต่ว่าต้องใช้กฎหมาย อาวุธ และโฆษณาชวนเชื่อเข้าครอบงำ ถ้าต้องการสันติสุขกลับคืนสู่ชายแดนภาคใต้จริงๆ รัฐบาลจะไม่จัดทำงบแบบนี้

รังสิมันต์ อภิปรายตอว่า สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ คือการใช้พื้นที่ชายแดนภาคใต้เป็นห้องทดลองเพื่อทดสอบนวัตกรรมต่างๆ ในการควบคุม เก็บข้อมูล และล้างสมองประชาชน โดยมีคนในพื้นที่กว่า 2 ล้านคนเป็นหนูทดลองกลุ่มแรกสุด ทดลองใช้สายข่าวแบ่งแยกประชาชนเพื่อให้ปกครองได้ง่ายขึ้น ทดลองใช้โฆษณาชวนเชื่อ ล้างสมองประชาชนให้เป็นเครื่องมือปราบปรามประชาชนด้วยกันเอง ทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ติดตามบุคคลไม่ให้เล็ดรอดสายตาของรัฐไปได้ ทดลองหยอดงบเจรจาสันติภาพแบบครึ่งๆ กลางๆ เพื่อต่อความหวังลมๆ แล้งๆ ให้ประชาชนยอมทนรัฐบาลต่อไป วันนี้รัฐบาลอาจยังไม่พร้อม จึงทดลองเฉพาะกับชายแดนภาคใต้ไปก่อน วันหน้าสบโอกาสเมื่อใดก็ค่อยเอามาใช้ทั้งประเทศ

หากสภาจะยังสนับสนุนงบประมาณแบบที่เป็นอยู่นี้ ก็ไม่ต่างกับการราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟ ที่เผาเงินภาษีของคนไทยทั้งประเทศ และผลาญชีวิตและอนาคตของพี่น้องชายแดนภาคใต้ให้กลายเป็นเถ้าธุลีหากรัฐบาลยังคงจัดสรรงบบนฐานของความไม่ไว้ใจประชาชนตั้งแต่ต้น แล้วจะยังเหลืออะไรให้ประชาชนไว้วางใจรัฐได้และเมื่อประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐแล้ว กระบวนการไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนถาวรคงไม่มีวันเกิดขึ้นได้ หากรัฐบาลมีความจริงใจต่อประชาชน ก็จงล้มเลิกโครงการโฆษณาชวนเชื่อเสีย ปรับลดงบความมั่นคงลงให้มากยิ่งกว่านี้ หยุดงานข่าวกรองที่รุกล้ำข้อมูลส่วนบุคคลแบบล้นเกิน หยุดสร้างสายข่าว ทูตแห่งความแตกแยก แล้วเอางบเหล่านั้นมาเพิ่มพูนให้กับกระบวนการสันติภาพ การเยียวยาประชาชนที่ถูกกระทำโดยรัฐ การสร้างพื้นที่ที่ผู้คนอยู่ร่วมกันโดยยังคงอัตลักษณ์ของตัวเองไว้ได้ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ พิสูจน์ความจริงใจให้เห็นผ่านการจัดสรรงบประมาณที่ถูกต้อง

สำหรับในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณในวาระนี้ รังสิมันต์ กล่าว่า ตนขอยืนยันว่าไม่อาจยอมรับการเอาภาษีประชาชนมาเปิดห้องทดลองมนุษย์เช่นนี้ให้ยังดำเนินการต่อไปได้ และขอเรียกร้องให้เพื่อน ส.ส. ทุกท่านร่วมกันใช้ 1 เสียงในมือของท่านปิดห้องทดลองอันชั่วร้ายนี้เสีย อย่าปล่อยให้เพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมชาติของพวกเราต้องกลายเป็นเพียงหนูลองยา และอย่าปล่อยให้ลูกหลานของพวกเราต้องเป็นเหยื่อรายต่อไป

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net