จากระเบียบ 'ทรงผม' สู่ระบบ 'โซตัส' : กฎเถื่อนที่ผูกมัด 'นักเรียน' ยัน 'นักศึกษา' I EP.1

รายงานปรากฎการณ์การละเมิดเด็กผ่าน 'ทรงผม' และการลงโทษ ปัญหาระเบียบกระทรวงที่ยังเปิดช่องว่างให้แต่ละโรงเรียน “ดื้อดึง” อาจอ้างว่า “เกรียน-ติ่งหู” คือความเหมาะสมของที่โรงเรียนนี้ และเฉพาะเจาะจงของที่นี่

ข่าวสด 5 ก.ค. 2563 กรณีนักเรียนหญิงโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ ถูกลงโทษตัดผมให้แหว่งไม่เป็นทรง https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_4444919

 

ข่าวสด 27 ส.ค. 2562 กรณีนักเรียนชายโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.โคกโพธิไชย จ.ขอนแก่น ถูกครูกล้อนผมจนแหว่ง https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_2838356

ไทยรัฐ 18 พ.ค. 2562 กรณีผู้ใช้ทวิตเตอร์โพสต์ภาพด้านหลังของนักเรียนชายถูกกล้อนผมขึ้นรถเมล์ https://www.thairath.co.th/news/society/1570783

ส่วนหนึ่งของข่าวสารที่ปรากฏ เกี่ยวกับกรณีเด็กนักเรียนชาย-หญิง ถูกครูในโรงเรียนลงโทษด้วยการตัดผมให้แหว่งไม่เป็นทรง หรือการกล้อนผม ซึ่งมาจากข้ออ้างผิดระเบียบทรงผมของโรงเรียน โดยเป็นการลงโทษที่ไม่คำนึงถึงความอับอายของเด็กนักเรียน ทำให้ส่งผลกระทบถึงจิตใจของเด็กอันเป็นการละเมิดสิทธิเด็ก ไม่มีกฎหมายใดรับรองให้มีการลงโทษเด็กด้วยวิธีการเช่นนี้

ปัญหาเรื่อง “ทรงผมนักเรียน” ที่เป็นอยู่นั้น มีมากกว่าการลงโทษที่ไม่เหมาะสม ดังที่เรารู้และพบเห็นได้ทั่วไป ว่ายังมีเด็กนักเรียนชาย ถูกบังคับให้ตัดผมทรง “เกรียน” สามด้านขาวชิดผิวหนังศีรษะ ส่วนเด็กนักเรียนหญิง ถูกบังคับให้ตัดผมทรง “ติ่งหู” ที่ต้องสั้นเท่ากับติ่งหู เหมือนกับหัวเห็ด ทั้งหมดมาจากระเบียบทรงผมของโรงเรียนที่กำหนดไว้เช่นนั้น เมื่อเด็กไม่ปฏิบัติตามจึงถูกครูลงโทษ หากเป็นการลงโทษด้วยวิธีอื่น ก็คงไม่เป็นเรื่องเป็นข่าวเท่ากับการกล้อนผม

แม้ว่า ณ วันนี้ “กระทรวงศึกษาธิการ” จะออก “ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมนักเรียน พ.ศ.2563” เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2563 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. 2563 เป็นต้นไป แต่ดูเหมือนไม่อาจแก้ปัญหาดังกล่าวได้เลย ถึงเนื้อหาในระเบียบที่ดูผ่านๆ แล้ว อาจจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ตามข้อ 4 ระบุว่า

“นักเรียนต้องปฏิบัติตนเกี่ยวกับการไว้ทรงผม ดังนี้ (1) นักเรียนชายจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวด้านข้าง ด้านหลังต้องยาว ไม่เลยตีนผม ด้านหน้าและกลางศีรษะให้เป็นไปตามความเหมาะสมและมีความเรียบร้อย (2) นักเรียนหญิงจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวให้เป็นไปตามความเหมาะสม และรวบให้เรียบร้อย”

แต่เมื่อพิจารณาดีๆ เมื่อพูดถึงคำว่า “ความเหมาะสม” ที่อาจเกิดการตีความแตกต่างกันไปได้ว่าแค่ไหนที่เหมาะสม และเริ่มยิ้มไม่ออกเลยเมื่ออ่านตามข้อ 7 ที่ระบุว่า

“ภายใต้บังคับข้อ 4 ให้สถานศึกษาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษา หรือคณะกรรมการบริหารโรงเรียนวางระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่มีความเฉพาะเจาะจงได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้

การดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้ยึดถือหลักความเหมาะสมในการพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีของนักเรียน และการมีส่วนร่วมของนักเรียน สถานศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชนท้องถิ่น”

เจอคำว่า “ความเฉพาะเจาะจง” โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษา หรือคณะกรรมการบริหารโรงเรียน ซึ่งไม่ทราบว่าในทางปฏิบัติจริงตามวรรคสอง จะมีส่วนร่วมจากผู้ปกครองและนักเรียนที่เพียงพอหรือไม่ในแต่ละโรงเรียน หากคณะกรรมการดังกล่าวอาศัยเสียงของครูที่มากกว่าและดังกว่า ในการวางระเบียบที่มีความเฉพาะเจาะจงได้ เมื่อรวมกับคำว่าความเหมาะสมแล้ว อาจเป็นช่องว่างให้แต่ละโรงเรียนตัดสินใจ “ดื้อดึง” ที่จะคงระเบียบบังคับให้นักเรียนต้องไว้ทรงผม “เกรียน-ติ่งหู” ต่อไปนั่นเอง เพราะโรงเรียนอาจจะลอดช่องว่างของระเบียบมาบอกว่า “เกรียน-ติ่งหู” คือความเหมาะสมของที่นี่ และเฉพาะเจาะจงของที่นี่

อย่างไรก็ตาม เหตุผลเช่นนี้สามารถโต้กลับได้ว่า ระเบียบกระทรวงระบุให้ไว้ “ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้” และ “เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้” หากโรงเรียนสั่งให้ไว้เฉพาะทรงเกรียน-ติ่งหู จึงเท่ากับขัดระเบียบกระทรวง เพราะไม่ให้สิทธินักเรียนเลือกที่จะไว้ผมสั้นหรือผมยาว ก็น่าจะยุติลงได้ว่า การบังคับให้นักเรียนไว้ผมทรงเกรียน-ติ่งหู ทำไม่ได้ตามระเบียบกระทรวง หรือหากกรณีหนักกว่านั้น เกิดมีครูบางคนหรือบางโรงเรียน มีความต้องการอนุรักษ์ผมทรงเกรียน-ติ่งหู อย่างแรงกล้า จะถึงขั้นเถียงข้างๆ คูๆ ว่าทรงเกรียน-ติ่งหู คือผมยาวสุดเท่าที่โรงเรียนอนุญาต หากเป็นเช่นนั้น ย่อมส่งผลให้ความขัดแย้งเรื่องทรงผมนักเรียนคงดำรงอยู่ หรืออาจถึงขั้นต้องส่งฟ้องศาลให้วินิจฉัยตีความกันวุ่นวาย ว่าระเบียบโรงเรียนนั้นๆ ขัดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการหรือไม่

จากเนื้อหาของระเบียบกระทรวงสู่การปฏิบัติต่อมา พบว่าสิ่งที่คาดการณ์ไว้ใกล้เคียงความจริง เมื่อโรงเรียนต่างๆ ยังคง “ดื้อดึง” บังคับเด็กนักเรียนให้ไว้ทรงผม “เกรียน-ติ่งหู” ต่อไปอย่างประจักษ์ชัด โดยวันที่ 4 ก.ค. 2563 มีรายงานข่าวจาก CH3+ ซึ่งเป็นเหตุการณ์วันที่ 3 ก.ค. 2563 ว่า เครือข่ายนักเรียนที่ใช้ชื่อว่า องค์กรนักเรียนเลว แสดงออกเชิงสัญลักษณ์บริเวณหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ด้วยการตัดผมนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่มีความยาวเลยติ่งหู โดยระบุว่า เส้นผมที่ถูกตัด เปรียบเสมือนตัวแทนของนักเรียนชายและหญิงทั่วประเทศ ที่ถูกครูปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมยื่นหนังสือขอความชัดเจนในการบังคับใช้กฎการไว้ทรงผมของนักเรียน

“พบว่าช่วงก่อนเปิดภาคเรียน จนถึงเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา มีคำร้องจากนักเรียนว่าถูกครูจับตัดผม หรือกล้อนผมแล้ว 312 โรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งถือว่าขัดกับระเบียบกระทรวงฯ ที่ออกมาอนุญาตให้นักเรียนชาย-หญิง ไว้ผมยาวตามความเหมาะสมได้ และยังลิดรอนสิทธิของนักเรียนไทย เพราะไม่ได้มีอิสระบนร่างกายตัวเอง จึงขอให้มีคำสั่งคุ้มครองนักเรียนทั่วประเทศทันที” องค์กรนักเรียนเลวระบุ

จากนั้น นายประเสริฐ บุญเรือง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางมารับหนังสือจากเครือข่ายนักเรียนด้วยตนเอง พร้อมระบุว่า ทุกโรงเรียนจะต้องออกกฎทรงผมใหม่ตามระเบียบกระทรวงฯ ปี 2563 ซึ่งเป็นระเบียบล่าสุด ห้ามใช้กฎเดิม โดยกระทรวงฯ จะส่งหนังสือถึงทุกโรงเรียนเพื่อยืนยันให้ปฏิบัติตามนี้อีกครั้ง (ที่มา : ch3plus.com)

ความประจักษ์ชัดถูกตอกย้ำในอีกเพียง 2 วันถัดมา วันที่ 5 ก.ค. 2563 ก็ปรากฏรายงานข่าว กรณีนักเรียนหญิงโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ ถูกลงโทษตัดผมให้แหว่งไม่เป็นทรง ตามที่หยิบยกมาระบุไว้ช่วงต้นของบทความนี้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2563 บังเอิญตรงกับวันที่องค์กรนักเรียนเลวยื่นหนังสือถึงกระทรวงศึกษาธิการพอดี

ประวัติศาสตร์การบังคับทรงผมนักเรียน “เกรียน-ติ่งหู” มีความเป็นมายาวนาน ใครอ่านใครศึกษาจะพบว่าไม่น่าเชื่อ ที่โรงเรียนไทยเหมือนเสพติดการบังคับเช่นนี้โดยไม่สอดคล้องกับกฎหมายระดับประเทศ พบกันต่อในตอนหน้า

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท