เครือข่ายเขียนอนาคตประเทศไทยและองค์กรภาคีคัดค้านรัฐบาลเข้าร่วม CPTPP เพราะจะทำให้ประเทศไทยถูกแทรกแซงในการออกนโยบายสาธารณะและทำให้นักลุงทุนจากต่างชาติที่มีวิทยาการสูงกว่าเข้ามาแข่งขันกับนักลงทุนนักพัฒนานวัตกรรมของไทยโดยที่ยังไม่มีความพร้อมในการแข่งขัน นอกจากนั้นยังอาจทำให้ไทยถูกฟ้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศหากมีนโยบายคุ้มครองนักลงทุนไทย
14 ก.ค.2563 เครือข่ายเขียนอนาคตประเทศไทยและองค์กรภาคี ยื่นหนังสือถือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียกร้องให้ยุติการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลง CPTPP โดยมี สุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ออกมารับหนังสือ
แถลงการณ์ระบุถึงสาเหตุที่รัฐบาลไทยต้องไม่เข้าร่วม CPTPP ว่า การเข้าร่วมดังกล่าวจะทำให้ต่างชาติเข้ามากำหนดนโยบายสาธารณะ ยา และเมล็ดพันธุ์จะทำให้ประเทศเสียอธิปไตย และยังทำให้รัฐบาลไม่สามารถออกนโยบายได้อย่างอิสระเพราะจะถูกรัฐภาคีและกลุ่มทุนแทรกแซงได้ อีกทั้งยังต้องแก้กฎหมาย 50 ฉบับเพื่อให้สอดรับกับข้อตกลงดังกล่าวอีก
นอกจากนั้นแถลงการณ์ระบุอีกว่า ยังต้องยกเลิกการให้สิทธิพิเศษกับนักลงทุนและนักประดิษฐ์ไทยและต้องให้นักลงทุนไทยกับต่างชาติมีสิทธิเท่าเทียมกัน ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาว
เจกะพันธ์ พรหมมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายเขียนอนาคตประเทศไทยให้สัมภาษณ์ อธิบายเพิ่มจากแถลงการณ์ว่า ประเด็นแรก เดิมกฎหมายที่คุ้มครองนักลงทุนต่างประเทศให้ความคุ้มครองเฉพาะการลงทุนที่เกิดการจ้างงานและมีการผลิต แต่ถ้าเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลง CPTPP จะทำให้มีนักลงทุนในตลาดหุ้นเข้ามาและได้รับการคุ้มครองแบบเดียวกันกับนักลงทุนที่มาลงทุนทำธุรกิจอื่น ซึ่งความอันตรายคือนักลงทุนพกวนี้จะเข้ามาปั่นเพื่อทำกำไรอย่างเดียวได้
เจกะพันธ์กล่าวต่อว่า ประเด็นที่สอง กิจการบางอย่างที่รัฐคุ้มครองให้กับนักลงทุนชาวไทยอยู่ เช่นอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็น เช่นอาหาร ยา อุปโภคบริโภคต่างๆ แต่ถ้าเข้าร่วมก็จะทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาแข่งกับนักลงทุนชาวไทยได้
“ที่ทางเครือข่ายกังวลก็คือยกตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นที่มีธุรกิจอาหารมาแข่งนักลงทุนไทยย่อมสู้ยากเพราะแพ้ทั้งทุน ทั้งวิทยาการ เดิมคือมีกฎหมายกีดกันและคุ้มครองนักลงทุนนักพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมของไทยไว้อยู่ แต่เมื่อเข้าสู่ CPTPP ก็จะต้องใช้มาตรฐานเดียวกันหมด” เจกะพันธ์อธิบาย
เจกะพันธ์กล่าวอีกว่า ในประเด็นที่สาม ถ้ารัฐบาลมีนโยบายที่ปกป้องนักลงทุนหรือรัฐวิสาหกิจไทยและมีการกีดกันนักลงทุนต่างชาติ จะทำให้ทุนต่างประเทศฟ้องเอาผิดกับรัฐบาลไทยได้ผ่านอนุญาโตตุลาการ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจากที่กล่าวมาข้างต้นเครือข่ายฯ มองว่าหากประเทศไทยเข้าร่วมจะทำให้นักลงทุนสามารถพัฒนาขึ้นไปแข่งกับต่างชาติได้ยากใช่หรือไม่ เจกะพันธ์ได้ตอบประเด็นนี้ว่าประเทศไทยมีทรัพยากรและต้นทุนการผลิตแต่ด้านวิทยาการยังไม่สามารถสู้ได้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ทุนข้ามชาติเข้ามากอบโกย แม้ว่าอาจจะมีโอกาสที่นักพัฒนานวัตกรรมไทยจะสามารถปรับตัวไปพัฒนาแข่งขันได้แต่ในสถานการณ์ของไทยขณะนี้ยังไม่มีความพร้อม
เจกะพันธ์ กล่าวถึงการยื่นหนังสือร้องเรียนวันนี้ว่าเครือข่ายฯ ได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมีสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมาชิกพรรคพลังประชารัฐออกมาเป็นผู้รับหนังสือร้องเรียนดังกล่าว ทางเครือข่ายได้ยืนยันว่าหากรัฐบาลเดินหน้าเรื่องนี้ต่อเครือข่ายก็จะมาชุมนุมยืดเยื้อและให้เวลากับรัฐบาลสองเดือนเพื่อประกาศยุติเรื่องนี้อย่างเป็นทางการหากไม่ประกาศก็จะมาชุมนุมเช่นเดียวกัน
เจกะพันธ์กล่าวต่อว่าทางสุภรณ์ได้บอกว่าทางรัฐบาลยังไม่มีแนวทางที่จะเข้าไปเจรจาและยังไม่ได้นำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรีในตอนนี้
แถลงการณ์ของเครือข่ายเขียนอนาคตประเทศไทย
ยกเลิกการเข้าร่วมภาคี CPTPP เพื่ออธิปไตยของประเทศ
1.การเข้าร่วม CPTPP คือการเสียอธิปไตยของประเทศ
ความมีอธิปไตยโดยเฉพาะในปัจจัยพื้นฐานนั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด ทั้ง เมล็ดพันธุ์ ยา นโยบายสาธารณะ หากสิ่งเหล่านี้ถูกอิทธิพลจากต่างชาติเป็นผู้กำหนดเราจะสูญเสียอิสรภาพของประเทศ ทั้งยาและเมล็ดพันธุ์เป็นปัจจัยพื้นฐานของประชาชนทุกคนต้องพึ่งพายาและความมั่นคงทางอาหาร การสูญเสียสิ่งเหล่านี้ให้ตกอยู่ในมือของกลุ่มทุนจะทำให้ประเทศอยู่ในภาวะอันตราย
2.การคุ้มครองนักลงทุนไทยหรือนักประดิษฐ์ไทยไม่สามารถกระทำได้
หากรัฐบาลพาประเทศเข้าสู่ CPTPP เพราะจะต้องปฏิบัติต่อนักลงทุนไทยและต่างชาติอย่างเสมอกัน ประเทศไทยจะต้องคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ขั้น portfolio นอกจากนี้ยังห้ามรัฐบาลไทยให้สิทธิพิเศษกับรัฐวิสาหกิจไทยในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การที่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เหล่านี้จะทำให้เกิดความอ่อนแอของประเทศในระยะยาว ความสามารถของคนไทยจะลดลงและท้ายที่สุดเราจะอยู่ในภาวะไม่แตกต่างจาก ‘เมืองขึ้นในทางเศรษฐกิจ’
3. การออกนโยบายสาธารณะจะไม่สามารถกระทำได้อย่างอิสระอีกต่อไป
การออกนโยบายสาธารณะเป็นปัจจัยสำคัญของการบริหารประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทุกคนแต่หากประเทศไทยเข้าร่วม CPTPP จะกระทำได้อย่างมีข้อจำกัดและถูกแทรกแซงจากรัฐภาคีหรือบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประเทศไทยต้องแก้ไขกฎหมาย 50 ฉบับเพื่อให้สอดรับกับกฎของ CPTPP การที่ประเทศจะต้องสูญเสียอธิปไตยในการกำหนดนโยบายและต้องกำหนดนโยบายตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่บรรษัทต่างชาติจะได้ประโยชน์เท่ากับว่าประเทศไทยกำลังสูญเสียอำนาจอธิปไตย
4. หากรัฐบาลต้องการตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นสามารถดำเนินการด้วยวิธีอื่น
หากรัฐบาลอ้างว่าต้องการตลาดส่งออกในบรรดาสมาชิก CPTPP มีทั้งหมด 11 ประเทศ ประเทศไทยมีข้อตกลงการค้าเสรีแล้วกับ 9 ประเทศ เหลือเพียงประเทศแคนาดากับเม็กซิโก เท่านั้นที่ยังไม่มีข้อตกลง หากว่าทั้งสองประเทศดังกล่าวเป็นตลาดสำคัญอย่างยิ่งจนสามารถเพิ่มจีดีพีได้ หนึ่งหมื่นสามพันล้าน ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง รัฐบาลสามารถทำข้อตกลงการค้าเสรีกับอีก 2 ประเทศ โดยไม่ต้องนำพาประเทศเข้าสู่ข้อตกลงที่ทำให้ประเทศสูญเสียอธิปไตย
5.หากรัฐบาลยืนอยู่ข้างกลุ่มทุนประชาชนจะปกป้องประเทศเอง
การที่รัฐบาลมีความพยายามหลายรอบในการนำเข้าวาระสู่การพิจารณาของ ครม. อีกทั้งยังมีมติจากคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมถึงคำแถลงของโฆษกรัฐบาลถึงข้อความของนายกรัฐมนตรีว่าให้ศึกษาถ้าอยากเข้าสู่การเจรจา ความพยายามดังกล่าวถือเป็นการแสดงเจตนาของรัฐบาลในการเข้าร่วม นั่นหมายถึงรัฐบาลกำลังพาประเทศเข้าสู่การสูญเสียอธิปไตย ในปัจจัยพื้นฐานและการกำหนดนโยบายสาธารณะซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน เช่นนั้นพวกเราในฐานะประชาชนขอปกป้องประเทศนี้จากการที่รัฐบาลผลักดันให้ประเทศเข้าสู่ CPTPP จนถึงที่สุด โดยมิต้องให้รัฐบาลเดินหน้าด้วยประการใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป
หากรัฐบาลยังเดินหน้าต่อไป ประชาชนจะมาปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาลจนกว่ารัฐบาลจะยกเลิกการเข้าสู่ CPTPP
ประกาศ ณ ทำเนียบรัฐบาล
14 ก.ค.2563
เครือข่ายเขียนอนาคตประเทศไทยและภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ