Skip to main content
sharethis

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน 'เอกชัย' 'โชคชัย' ปรับคนละ 2,000 บาท ข้อหาไม่แจ้งชุมนุม จากกรณีเปิดเพลง 'ประเทศกูมี' หน้ากองทัพบกเมื่อ 18 ก.พ. 62 เอกชัยยันไม่ใช่การชุมนุม แค่จัดกิจกรรม จะสู้ถึงฎีกาหรือไม่ขอปรึกษาทนาย

29 ก.ค. 2563 วันนี้ไอลอว์รายงานว่า ศาลอุทธรณ์นัดเอกชัย หงส์กังวาน และโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ นักกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งเป็นจำเลยในคดีไม่แจ้งการชุมนุมตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 กรณีเปิดเพลงประเทศกูมีที่หน้ากองทัพบก ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อประท้วงคำสัมภาษณ์ของพล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าให้นักการเมืองที่เสนอตัดงบกระทรวงกลาโหมและเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน 

ศาลนัดทั้งสองคนฟังคำพิพากษาที่ศาลแขวงดุสิตเวลา 9.00 น. โดยพิพากษายืนให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสองคนละ 2,000 บาท พร้อมให้เหตุผลว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดการชุมนุม และการทำกิจกรรมของจำเลยทั้งสองถือเป็นการชุมนุมสาธารณะ เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสองไม่แจ้งการชุมนุมการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ในวันนี้ โชคชัย จำเลยที่สองมาถึงศาลในเวลาประมาณ 10.30 น. โดยอ้างว่ารถติด ศาลจึงเตือนโชคชัยว่าควรมาศาลให้ตรงเวลา

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์สรุปใจความได้ว่า

จำเลยอุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นเพียงการจัดกิจกรรม ไม่ใช่การชุมนุมสาธารณะ เห็นว่า มาตรา 4 ของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ บัญญัติว่า “การชุมนุมสาธารณะ” หมายความว่า การชุมนุมของบุคคลในที่สาธารณะเพื่อเรียกร้อง สนับสนุน คัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป และบุคคลอื่นสามารถร่วมการชุมนุมนั้นได้ ไม่ว่าการชุมนุมนั้นจะมีการเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายด้วยหรือไม่ 

ดังนั้น การชุมนุมสาธารณะจึงเป็นการรวมตัวของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อสนับสนุน เรียกร้อง หรือคัดค้าน หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป และประชาชนทั่วไปสามารถเข้าร่วมการชุมนุมกับจำเลยทั้งสองได้ 

แม้จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าการกระทำของพวกตนเป็นเพียงการทำกิจกรรม แต่เมื่อกิจกรรมดังกล่าวเป็นการรวมตัวของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ในช่วงระยะเวลาหนึ่งในที่สาธารณะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความคิดเห็นของจำเลยทั้งสองต่อสาธารณะว่าจำเลยทั้งสองไม่เห็นด้วยกับการกระทำของผู้บัญชาการทหารบก บริเวณที่จำเลยทั้งสองไปทำกิจกรรมก็เป็นที่สาธารณะ เป็นสถานที่เปิดไม่มีการปิดกั้น บุคคลอื่นสามารถเข้าร่วมกับจำเลยทั้งสองได้ จึงถือว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการชุมนุมสาธารณะแล้ว 

ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ประสงค์จัดให้มีการชุมนุมสาธารณะหรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะมารวมตัวในวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองมีการประกาศวัน เวลาและสถานที่จัดกิจกรรมบนเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสอง โดยตั้งค่าการประกาศ (โพสต์ข้อความ) เป็นสาธารณะซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กของจำเลยที่หนึ่งซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก ประชาชนทั่วไปที่ไปดูจึงย่อมทราบวัน เวลาและสถานที่นัดหมายของจำเลยทั้งสองและสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ 

และจำเลยทั้งสองยังเป็นผู้จัดเตรียมสิ่งของต่างๆ เช่น ตุ๊กตาหมี และเครื่องขยายเสียง รวมทั้งเก้าอี้ที่ใช้ในการชุมนุมสาธารณะ และจำเลยทั้งสองยังแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะในสถานที่เกิดเหตุด้วย จึงถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้จัดให้มีการชุมนุมสาธารณะ กรณีนี้จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยทั้งสองโพสต์มีลักษณะเป็นการเชิญชวนให้คนทั่วไปเข้าร่วมการชุมนุมหรือไม่ เมื่อได้ข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้แจ้งการชุมนุมตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิด

ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าการทำกิจกรรมของพวกตนถูกแทรกแซงขัดขวางโดยเจ้าหน้าที่ เห็นว่าหากจำเลยเห็นเจ้าหน้าที่กระทำการไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็สามารถดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ได้ แต่ไม่อาจอ้างการกระทำของตำรวจมาเป็นข้อยกเว้นการกระทำความผิดของตน 

ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าในวันเกิดเหตุบุคคลทั่วไปไม่สามารถร่วมการชุมนุมได้เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนคล้องแขนกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้ามา เห็นว่า ภาพเคลื่อนไหวในแผ่นซีดีที่บันทึกเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ ไม่ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคล้องแขนล้อมจำเลยที่สองในทันที และตำรวจก็ไม่ได้ประกาศห้ามบุคคลอื่นร่วมชุมนุมกับจำเลยทั้งสอง เจ้าหน้าที่เพียงแต่คล้องแขนกันแถวเดียวไม่ได้เป็นลักษณะกีดกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้าร่วม เจ้าหน้าที่เพิ่งมาคล้องแขนล้อมจำเลยทั้งสองเมื่อมีเจ้าพนักงานแจ้งกับจำเลยทั้งสองว่าการชุมนุมของจำเลยทั้งสองเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบ เพื่อควบคุมตัวจำเลยทั้งสอง และเป็นเหตุที่เกิดขึ้นตอนท้ายของการชุมนุมเท่านั้น 

ที่จำเลยอ้างว่าเคยไปทำกิจกรรมลักษณะเดียวกันมาหลายครั้งแต่ไม่ถูกดำเนินคดี เห็นว่ากรณีดังกล่าวไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้จำเลยทั้งสองพ้นจากความผิดมาได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลยทั้งสองคนละ 2,000 บาทนั้นชอบแล้ว พิพากษายืน

 

หลังฟังคำพิพากษา เอกชัยให้สัมภาษณ์ว่า คาดเดาอยู่แล้วว่าคำพิพากษาจะออกมาลักษณะนี้ แต่ตัวเขาไม่เห็นด้วย เพราะสิ่งที่เขาทำในวันเกิดเหตุไม่ใช่การชุมนุม เป็นเพียงการจัดกิจกรรม เขาไม่ได้เชิญชวนใครมาร่วมกิจกรรมด้วย เขาแค่ประกาศว่าเขาจะมาทำกิจกรรมกับโชคชัย แล้วในความเป็นจริงในวันเกิดเหตุก็ไม่ได้มีบุคคลอื่นมาร่วมกิจกรรม มีเพียงตำรวจที่มาล้อมหน้าล้อมหลัง ส่วนจะต่อสู้คดีในชั้นฎีกาหรือไม่ เขาจะพิจารณาและปรึกษาทนายความอีกทีหนึ่ง

 

ทั้งนี้ มูลเหตุแห่งคดีนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงการเลือกตั้งปี 2562 ที่มีพรรคการเมืองหาเสียงเรื่องการลดงบกองทัพและนโยบายยกเลิกบังคับการเกณฑ์ทหาร จากนั้น ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับคำปราศรัยของพรรคการเมืองที่หาเสียงในประเด็นดังกล่าวตอนหนึ่งว่า ให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน

ในวันเดียวกันยังมีกระแสข่าวว่า ผบ.ทบ. มีคำสั่งให้กรมกิจการพลเรือนทหารบกนำเพลงแนวปลุกใจทหาร รวมทั้งเพลง หนักแผ่นดิน ไปเปิดในสถานีวิทยุกองทัพบกที่มีกว่า 160 สถานีทั่วประเทศ แต่ข่าวดังกล่าวก็ทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จนสุดท้ายมีการประกาศยกเลิกการเปิดเพลงตามสถานี แต่ให้เปิดเป็นเสียงตามสายในค่ายทหารแทน

จากกรณีดังกล่าวทำให้เอกชัยประกาศว่าจะไปทำกิจกรรมเปิดเพลงประเทศกูมีที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบกในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562แล้วเมื่อถึงวันดังกล่าว เอกชัยพร้อมโชคชัย นำลำโพงไปเปิดเพลงประเทศกูมีและทำกิจกรรมจำลองเหตุการณ์ 6 ตุลา เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเพลงหนักแผ่นดินเคยถูกใช้ปลุกระดมให้คนใช้ความรุนแรงต่อกัน

เมื่อเอกชัยและโชคชัยทำกิจกรรมได้ครู่หนึ่งจากนั้นก็ถูกเชิญตัวไปที่สน.นางเลิ้ง ทั้งสองถูกตั้งข้อกล่าวหาไม่แจ้งการชุมนุมตามพ.ร.บ. ชุมนุมฯ ข้อหานี้ทั้งเอกชัยและโชคชัยให้การปฏิเสธ นอกจากข้อหาไม่แจ้งการชุมนุมเอกชัยยังถูกตั้งข้อหาใช้ครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตเพิ่มเติมด้วย สำหรับข้อหานี้เอกชัยให้การรับสารภาพและถูกเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 200 บาท 

ในเดือนมีนาคม 2562 อัยการฟ้องคดีต่อศาลแขวงดุสิต จากนั้นจึงมีการสืบพยานระหว่างวันที่ 3 ถึง 4 กรกฎาคม 2562 อัยการนำพยานเข้าสืบรวม 4 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์รวมสามนายและพนักงานสอบสวนหนึ่งนาย ฝ่ายจำเลยมีเอกชัยเข้าเบิกความเป็นพยานให้ตัวเองเพียงปากเดียว

ต่อมาวันที่ 25 กันยายน 2562 ศาลแขวงดุสิตพิพากษาว่าเอกชัยและโชคชัยมีความผิดฐานไม่แจ้งการชุมนุมตามพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ ลงโทษปรับเป็นเงินคนละ 2,000 บาท

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net