อานนท์ นำภา : ปราศรัยด้วยความเคารพต่อตัวเอง ผู้ฟัง และสถาบันกษัตริย์

'ทนายอานนท์' ปราศรัยถึงบทบาทสถาบันกษัตริย์ที่เกี่ยวกับการเมืองไทยในปัจจุบัน หวังเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดนี้ กฎหมายจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ การออกพ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ และ งบประมาณจากภาษีที่ใช้เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ย้ำต้องอภิปรายเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา

3 ส.ค. 2563 กลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มมอกะเสดจัดชุมนุมทางการเมืองที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ภายใต้ธีมพ่อมดน้อย แฮรี่ พอตเตอร์  ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ ปกป้องประชาธิปไตย’ ตั้งแต่เวลา 18.00 - 20.00 น. การชุมนุมนี้เป็นหนึ่งใน ‘เฟลชม็อบ’ จำนวนมากที่กระจายตัวเกิดขึ้นทั่วประเทศ และส่วนใหญ่นำโดยเยาวชน

งานนี้ใช้วรรณกรรมเป็นเครื่องมือโดยสมมติให้สภาพการเมืองไทยเปรียบเหมือนโลกของพ่อมดน้อยแฮรี่ จากปลายปากกาของเจเค โรลลิ่ง โลกที่เหล่าผู้ใช้เวทมนต์ต่างรู้ดีว่าปัญหาของเรื่องมาจากลอร์ดโวลเดอมอร์ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อนั้นอย่างตรงไปตรงมา และใช้คำเรียกเพื่อหลบเลี่ยงความกลัวแทนว่า “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” 

อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน เป็นหนึ่งผู้ปราศรัยในเวที ก่อนหน้านี้เขาโพสต์เฟสบุ๊คระบุว่า จะพูดถึงบทบาทสถาบันกษัตริย์รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย

เขาปรากฎตัวที่งานชุมนุม สวมครุยพ่อมด มีผ้าพันคอสีเหลืองคาดน้ำตาลพร้อมถือไม้กายสิทธิ์ ขึ้นเวทีในฐานะผู้ปราศรัยเป็นคนสุดท้ายและพูดทุกสิ่งที่เตรียมมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งต่อเนื่อง เขาย้ำก่อนลงจากเวทีด้วยว่า ไม่ว่าจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่เสียใจที่วันนี้ได้พูดความจริง

000000

อานนท์เริ่มต้นกล่าวทักทายผู้ร่วมชุมนุมทุกคน พร้อมแจ้งว่าได้รับการติดต่อจากทีมงานนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหานคร ให้มาพูดหัวข้อซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนต้องการฟัง แต่ไม่มีใครพูดอย่างเป็นทางการ  

เขาย้ำว่า ด้วยความเคารพ ให้เกียรติต่อตนเอง ผู้ฟัง และด้วยความเคารพอย่างสูงสุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เขามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพูดถึงบทบาทของสถาบันที่เกี่ยวกับการเมืองไทยซึ่งเกิดขึ้นในทุกวันนี้

“เราซุกปัญหานี้ไว้ใต้พรมมาหลายปีแล้ว ไม่มีการเอ่ยอ้างถึงปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งมันนำมาสู่การแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด เราต้องยอมรับความจริงว่า ที่นิสิต นักศึกษา และประชาชน ลุกขึ้นมาชุมนุมเรียกร้องทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนต้องการตั้งคำถามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเรา”

เขากล่าวต่อว่า ในเวทีชุมนุมปรากฏมีการชูป้ายกล่าวอ้างถึงบุคคลที่อยู่เยอรมนี แต่การกล่าวอ้างเหล่านั้นจะไม่มีน้ำหนักหากไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ด้วยเหตุผล และพูดด้วยความตรงไปตรงมาตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 

อานนท์กล่าวว่า ปัจจุบันนี้เราประสบปัญหาสำคัญคือ มีกระบวนการที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเราขยับออกไปไกลห่างจากระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นทุกที โดยเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2557 ซึ่งเกิดการรัฐประหารโดย คสช. มีการสั่งให้เนติบริกรร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกขึ้นมาโดยบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อร่างมาแล้วก็ไม่ได้มีเนื้อหาแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 และที่สุดแล้วชนชั้นนำไทยกลับไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้วปัดตกไปในชั้น สนช. จากนั้นได้มีการสั่งให้นิติบริกรผู้รู้ตัวจริงของไทยเข้ามาร่างรัฐธรรมนูญใหม่คือ มีชัย ฤชุพันธุ์ โดยได้ออกแบบรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการขยายพระราชอำนาจออกไปไกลจากระบอบประชาธิปไตย 

“มีการออกแบบมาตรา 15 วรรค 2 ให้การบริหารราชการแผ่นดินมีการตั้งหน่วยงานในพระองค์ขึ้นมาแล้วบริหารตามพระราชอัธยาศัย การบอกว่าบริหารตามพระราชอัธยาศัยนั้นแปลเป็นภาษาบ้านเราคือ บริหารไปตามใจของพระมหากษัตริย์ เหล่านี้เป็นการออกแบบกฎหมายที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตยทั้งสิ้น”

อานนท์กล่าวต่อถึงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญหลังผ่านการลงประชามติจากประชาชนว่า ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรก เมื่อร่างรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้นำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าและพระมหากษัตริย์รับสั่งให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในสาระสำคัญหลายประการ ซึ่งหากเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เหตุการณ์นี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

“มีการแก้ไขประเด็นใหญ่ๆ อยู่ 2 ประการ คือ แก้ไขกรณีที่เกิดวิฤกติของบ้านเมือง รัฐธรรมนูญฉบับมีชัยบอกว่าให้วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครอง โดยให้มีคณะกรรมการขึ้นมาวินิจฉัยในกรณีที่มีวิกฤติบ้านเมือง แต่พระมหากษัตริย์รับสั่งให้เเก้ประเด็นนี้ ให้ตัดออกเหลือเพียงให้วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ประการที่ 2 คือ การแก้ไขให้พระมหากษัตริย์ กรณีที่ไม่อยู่ในประเทศไทยไม่ต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เราจึงได้เห็นพระมหากษัตริย์ของเราเสด็จไปประทับอยู่ที่ประเทศเยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ นานครั้งจึงจะกลับมาที่ประเทศไทย ข้อเท็จจริงนี้พี่น้องทุกคนทราบ ทหารตำรวจทุกคนทราบ แต่ผมเชื่อว่าทุกคนไม่กล้าพูด ด้วยความเคารพอย่างยิ่งยวดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมคิดว่าปัญหานี้จะต้องถูกพูดอย่างเป็นทางการเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน”

เขากล่าวต่อว่า เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้ สนช. ซึ่งตั้งจากรัฐบาลเผด็จการของประยุทธ์ได้ออกกฎหมายที่ขยายพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์หลายฉบับ กฎหมายฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติการบริหารราชการในพระองค์ เปิดโอกาสให้มีหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์และเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย แต่ยังได้รับเงินเดือนจากประชาชน นอกจากนี้ยังได้มีการตรากฎหมายสำคัญอีกฉบับคือ พระราชบัญญัติการจัดการระเบียบว่าด้วยการบริหารทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเดิมทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นมีองค์กรที่รับผิดชอบดูแลอยู่แล้วคือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

“ที่ผ่านมาอาจจะมีการโต้แย้งว่าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับทรัพย์สินส่วนพระองค์ใครเป็นคนดูแล แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและออกพระราชบัญญัติครั้งนี้ในปี 2560 ได้เปลี่ยนแปลงการเมืองไทยอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เพราะต่อไปนี้ทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินที่เราเป็นเจ้าของร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นสนามหลวง ไม่ว่าจะเป็นพระราชวัง ไม่ว่าจะเป็นหุ้นซึ่งเดิมเป็นของพวกเราร่วมกัน ต่อไปนี้จะตกเป็นของพระมหากษัตริย์ และบริหารไปตามพระราชอัธยาศัย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญแต่ไม่มีใครกล้าพูดถึง”

“เดิมเมื่อคณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาได้แบ่งทรัพย์สินออกอย่างชัดเจน ส่วนที่เป็นของส่วนพระองค์ คณะราษฎรไม่แตะต้อง แต่ส่วนที่เกิดจากภาษีของพวกเราก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองคณะราษฎรได้ให้รัฐเป็นผู้ดูแล”

อานนท์ กล่าวเสริมอีกว่า การแปลงสภาพทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้ตกอยู่ในการบริหารของพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ส่งผลทำให้เกิดข้อกฎหมายอีกประการคือ กรณีที่ในหลวงของเราไปประทับอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ตามกำหนดระยะเวลาของแคว้นบาวาเรียตามกฎหมายอาจจะบังคับให้ต้องเสียภาษีเป็นจำนวนมาก

อานนท์ ระบุว่า การที่พระองค์ไม่ได้ทรงประทับในประเทศส่งผลให้เกิดปัญหาต่อประชาชนไทย เพราะทุกวันนี้ชาวต่างชาติเริ่มล้อเลียนก็สืบเนื่องจากกรณีที่พระองค์ไม่ได้อยู่ในประเทศ รวมทั้งกรณีที่จะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเข้าไปถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อให้มีฝ่ายบริหารเข้ามาทำงานในช่วงหลังการเลือกตั้งก็ไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วเพราะต้องรอให้พระองค์เสด็จกลับประเทศก่อน 

“การตรากฎหมายเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ขยับออกไปจากระบอบประชาธิปไตยยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ในปี 2562 หลังได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีการเสนอกฎหมายอีกฉบับเพื่อโอนกำลังพลทหาร กรมทหารราบที่ 1 กับกรมทหารราบที่ 11 ไปให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดูแลปกครองตามพระราชอัธยาศัย กรณีนี้สำคัญเพราะในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนให้อำนาจกษัตริย์ดูแลปกครองทหารจำนวนมากขนาดนี้ เพราะการทำเช่นนี้สุ่มเสี่ยงต่อการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์”

เขาย้ำว่ากรณีการโอนย้ายหน่วยทหารนั้น มีเพียงพรรคการเมืองพรรคเดียวที่กล้าพูดเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎรคือ พรรคอนาคตใหม่ โดยปิยบุตร เเสงกนกกุล ได้ลุกขึ้นอภิปรายเรื่องนี้ว่า ไม่เห็นชอบกับการออกพระราชกำหนดโอนกำลังพลทหารไปเป็นหน่วยงานในพระองค์ เพราะไม่เห็นด้วยที่มีการออกเป็นพระราชกำหนด ซึ่งไม่เปิดพื้นที่ให้สภาได้อภิปราย แต่โชคชะตาก็นำพาให้การพูดเรื่องนี้อาจเป็นเหตุให้เกิดการยุบพรรคอนาคตใหม่ 

“ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเรามีระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่สถาบันพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจล้นเกินไปกว่าที่ระบอบอนุญาตแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันอย่างจริงจัง และทุกคนต้องพูดให้เป็นสาธารณะและพูดด้วยความเคารพในระบบ เคารพต่อสถาบัน ถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ การพูดเช่นนี้ไม่ใช่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการพูดเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในสังคมไทยอย่างถูกต้องชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”

อานนท์ เชื่อว่า นักศึกษาที่ออกมาชุมนุมนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมารู้เรื่องเหล่านี้ดี แต่ไม่ใครกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมา ต่อไปนี้เขาหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถพูดได้ในที่สาธารณะ และขอเรียกร้องไปยังสภาผู้แทนราษฎรให้พูดเรื่องนี้แทนประชาชน อย่าปล่อยให้คนตัวเล็กตัวน้อยต้องพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วถูกคุกคามตามลำพัง อย่าปล่อยให้ผู้ลี้ภัยทางการเมืองออกมาพูดแล้วถูกอุ้มฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ

“ต่อไปนี้จะต้องไม่มีคนที่ออกมาพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วถูกกล่าวหาเป็นคนบ้า เป็นคนเสียสติ ถูกอุ้มเข้าโรงพยาบาลทั้งที่เขาพูดความจริง” อานนท์กล่าว

อานนท์ กล่าวต่อว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงฉากแรกของการเปลี่ยนแปลงพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นปัญหาต่อระบอบ ผ่านการตรากฎหมายโดยสภาที่เป็นเผด็จการ ประการต่อมาเราพบว่า มีบุคคลนำสถาบันมาแอบอ้างเพื่อทำลายคนเห็นต่างทางการเมือง 

“คนแรกที่ผมจะเอ่ยถึง คือ คนที่ดึงเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาสนับสนุนตัวเองคือ คนที่ชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งเป็นนายกฯ รัฐธรรมนูญบัญญัติให้คนที่จะเป็นนายกฯ ต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำตามรัฐธรรมนูญ คือ จะจงรักภักดีต่อสถาบันฯ บริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และที่สำคัญคือจะพิทักษ์รักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร แต่ประยุทธ์จงใจไม่ปฏิญาณต่อหน้าองค์พระมหากษัตริย์ของพวกเราว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ นั่นหมายความว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่รับปากว่าจะไม่ฉีกรัฐธรรมนูญอีกครั้ง”

อานนท์กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นประยุทธ์ได้อ้างพระราชดำรัสเป็นลายพระราชหัตเลขาบอกว่า ในหลวงท่านทรงให้กำลังใจ นี่ถือเป็นการแอบอ้างสถาบันกษัตริย์เพื่อประโยชน์ของตนเอง เรื่องนี้ไม่มีใครยืนยันได้และไม่มีการชี้แจงจากทางสถาบัน

อานนท์ ยังเรียกร้องให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำเนินการกับบุคคลที่แอบอ้างสถาบันฯ มาทำลายล้างหรือคุกคามประชาชน เช่น เหรียญทอง แน่นหนา ซึ่ง อานนท์ เชื่อว่าสถาบันฯ ที่มีหน่วยงานทหารฝ่ายการข่าวจะทราบการแอบอ้างเหล่านั้น

อานนท์ กล่าวต่อว่า ประเทศนี้ได้ถูกบิดเบือนเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่อง โดยเป็นการบิดเบือนให้สถาบันกษัตริย์กลายเป็นสถาบันของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่สถาบันของคนไทยทั้งประเทศ โดยมีการกล่าวหาว่า คนที่ออกมาไล่รัฐบาล เป็นคนที่ล้มล้างสถาบันซึ่งไม่เป็นความจริง และกลุ่มคนเหล่านั้นต้องหยุดเรื่องนี้ก่อนที่ประเทศนี้จะเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรง นอกจากนี้ทุกคนควรพูดเรื่องนี้อย่างเป็นสาธารณะและพูดอย่างเปิดเผยเสียที

“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ถ้าใครมาเชิญผมขึ้นเวทีปราศรัย แล้วให้ผมพูดบิดเบือน ไม่กล่าวถึงปัญหาของสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมไม่ขึ้นเวที ผมจะขึ้นเฉพาะเวทีที่เปิดให้ผมพูดความจริงเท่านั้น และผมยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผมพูดด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ หากผมพูดปดแม้แต่น้อยขอให้ผมมีอันเป็นไปในสามวันเจ็ดวัน”

อานนท์กล่าวต่อว่า นอกจากมีการขยายพระราชอำนาจอย่างล้นเกินแล้ว รัฐบาลเผด็จการของประยุทธ์ยังได้ทำให้ประเทศนี้ปกครองด้วยความไม่เป็นประชาธิปไตยโดยการอ้างสถาบัน หนึ่งในนั้นคือ การตรากฎหมายพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดินที่ไม่มีการตรวจสอบการใช้เงินของสถาบัน

อานนท์เสนอว่า การใช้เงินงบประมาณแผ่นดินของทุกองค์กรต้องถูกตรวจสอบ ต้องถูกวิจารณ์ได้ แต่สำหรับรัฐบาลนี้ไม่มีเรื่องนี้ ทั้งยังมีการตั้งงบประมาณไว้ในหลายส่วนที่เกินความจำเป็น เช่น งบประมาณกระทรวงพาณิชย์ที่นำโปรโมทยี่ห้อส่วนพระองค์ นี่คือการประจบประแจงสถาบันอย่างล้นเกินของรัฐบาลนี้ หรือการสนับสนุนงบประมาณในการเดินทางโดยใช้เครื่องบินมากกว่า 5,000 ล้านตาม พ.ร.บ.งบประมาณ

อานนท์ เสนอว่า รัฐบาล รัฐสภา หากเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นว่าพระมหากษัตริย์ของเราอยู่ต่างประเทศนานแล้ว ควรเปิดโอกาสให้สภาผู้แทนราษฎรเปิดอภิปรายถวายคำแนะนำให้พระองค์กลับมาอยู่ในประเทศได้ รวมทั้งตรวจสอบงบประมาณที่ใช้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น การสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติมูลค่าเป็นสิบล้านซึ่งไม่มีความจำเป็น เพราะความจงรักภักดีและศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นไม่ได้อยู่ที่ซุ้มแต่อยู่ที่การปฏิบัติตนของราชวงศ์ทุกพระองค์

เขากล่าวว่าที่มาพูดในวันนี้เป็นไปด้วยความห่วงใยในบ้านเมือง และกล่าวถึงปัญหาพระราชอำนาจอย่างตรงไปตรงมาในฐานะที่เป็นราษฎร ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด และนำเสนอข้อเสนอในการแก้ปัญหาด้วยว่า เมื่อมีการแก้รัฐธรรมนูญ ต้องแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับกับสถาบันพระมหากษัตริย์ให้พระองค์อยู่เป็นมิ่งขวัญของประชาชนในประเทศ มิใช่ที่อื่นใด กรณีที่จะไปประทับที่อื่นต้องมีการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทำงานแทนพระองค์ ไม่ปล่อยให้ประเทศว่างเว้นจากการมีพระมหากษัตริย์อยู่ในประเทศเพื่อให้สมกับการเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรื่องต่อมาที่ต้องแก้ คือ การแก้พระราชบัญญัติต่างๆ ที่ต้องดึงทรัพย์สินสาธารณะสมบัติของแผ่นดินกลับมาเป็นของประชาชน

อานนท์ ยังเชิญชวนผู้ฟังการปราศรัยด้วยว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าให้เลือกพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง มีนโยบายเอาทรัพย์สินสาธารณะกลับมาเป็นของประชาชน โดยไม่เลือกพรรคที่มีนโยบายจะขยายพระราชอำนาจไปเรื่อยๆ

“ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นจากการพูดความจริงของผมไม่ว่าจะเป็นการคุกคาม จะจับไปดำเนินคดี หรือจะทำให้ผมเสียชีวิต ผมไม่เสียใจเพราะวันนี้ผมได้พูดความจริงแล้ว และความจริงนี้จะอยู่กับพี่น้องประชาชน จะหลอกหลอนเผด็จการ ไปจนกว่าเราจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง”

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท