Skip to main content
sharethis

ตำรวจประสานเสียงยังไม่ออกหมายจับเพนกวิน ข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงตามขั้นตอนก่อนว่ามีการกระทำจริงหรือไม่ เตือนผู้แจ้งความนำเอกสารไปโพสต์ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าต้องออกหมายจับอาจผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า 13 ส.ค. 2563 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์นำเสนอข่าว “การออกหมายจับและจับกุม นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชีวารักษ์ ในความผิดตามมาตรา 112” ว่า ข้อความที่นำเสนอในสื่อโซลเชียลต่างๆ ดังกล่าว ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด แต่ได้รับรายงานจาก สภ.เมืองเลย ว่า เมื่อวันที่ 12 ส.ค. เวลา 10.23 น. สุขสันต์ เวียงจันทร์ อายุ 59 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาที่ อ.เมือง จ.เลย ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเลย ให้ดำเนินคดีกับ พริษฐ์ ชิวารักษ์ อายุ 24 ปี โดยกล่าวหาว่า “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ซึ่งพนักงานสอบสวน ได้รับแจ้งความไว้แล้ว และจะดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อไป

รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้มีการออกหมายจับ หรือจับกุม ตามที่ปรากฏในสื่อแต่อย่างใด โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ขอให้พี่น้องประชาชนโปรดรับฟังข้อมูลข่าวสารจากทางราชการและจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ โดยใช้ดุลยพินิจและวิจารณญาณในการรับฟังข้อมูลข่าวสารทางช่องทางต่างๆ และฝากไปยังสื่อหรือผู้ที่นำข้อมูลข่าวสารออกเผยแพร่ หรือเสนอข่าว ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนเผยแพร่ เนื่องจากการเผยแพร่หรือแชร์ข้อมูลอันเป็นเท็จ อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และยังทำให้สังคมเกิดความสับสนและประชาชนเกิดความตื่นตระหนกและสับสน

ด้านมติชนออนไลน์ รายงานว่า คืนวันที่ 13 ส.ค. 2563 พล.ต.ต.วิบูลย์ วงก้อม ผบก.ภ.จว.เลย พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย ผกก.สภ.เมืองเลย พร้อมกับ พ.ต.อ.ยุทธนา งามชัด ผกก.สอบสวน สภ.เมืองเลย เปิดแถลงข่าว ยังไม่มีการลงรับหมายเลขคดีพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน และยังไม่ตั้งข้อหาใดๆ กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ในส่วนคนแจ้งนำเอกสารไปโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด ส่อผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

พล.ต.ต.วิบูลย์ วงก้อม ผบก.ภ.จว.เลย กล่าวว่า ในช่วงที่มีการแจ้งความ เป็นตอนที่ระดับผู้บังคับบัญชา ทั้งโรงพัก และภูธรจังหวัด ไปประกอบงานราชพิธีและจิตอาสาในเนื่องวันแม่ พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นผู้หญิงเพิ่งมาย้ายเข้ามาทำงาน และได้ชี้แจงขั้นตอนของการรับแจ้งความ และการสอบสวนในคดีดังกล่าว ซึ่งมีความละเอียดอ่อน แต่ผู้แจ้งได้แสดงกริยาและใช้คำพูดในเชิงกดดันพนักงานสอบสวนว่า พนักงานสอบสวนต้องรับแจ้งเขา ในเรื่องที่เขาต้องมาแจ้ง พนักงานสอบสวนจึงได้สอบถามถึงพยานหลักฐานที่เขามีอยู่ ปรากฏว่าผู้แจ้งได้บอกว่า เป็นหน้าที่ของทางตำรวจจะต้องแสวงหาพยานหลักฐานเอาเอง และในวันนี้ต้องรับแจ้งเรื่องของเขาให้ได้ ถ้าไม่รับแจ้งก็จะต้องมีเรื่องมีราว พนักงานสอบสวนจึงได้รับแจ้งไว้ เพื่อทำการสอบสวน

ในการสอบสวน ยังไม่ได้มีการตัดไว้ลงเลขคดี เนื่องจากต้องทำการสอบสวนโดยละเอียดว่าการกระทำดังกล่าว มีการกระทำเกิดขึ้นหรือไม่ หรือถ้ามีการกระทำเกิดขึ้นเป็นความผิดหรือไม่ การกระทำอยู่ในอำนาจสอบสวนของ สภ.เมืองเลย หรือไม่ ซึ่งเป็นขั้นตอนของพนักงานสอบสวนจะต้องไปรวบรวมพยานหลักฐาน และรายงานตามผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน คดีอย่างนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้วางขั้นตอนการสอบสวนไว้อย่างละเอียดอยู่แล้ว ว่ามีขั้นตอนสอบสวนไว้อย่างไร เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ได้รับแจ้งไว้ก่อนแล้วค่อยไปรวบรวมหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปประกอบคดี และต้องเสนอผู้บังคับบัญชากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าผู้แจ้งแทนที่แจ้งความแล้ว จะช่วยพนักงานสอบสวนแสวงหาพยานหลักฐาน กลับนำเอกสารไปเผยแพร่ ทำให้เกิดการสับสนในสังคมว่าได้แจ้งความแล้ว จะต้องออกหมายจับ ทำให้ผู้ที่กล่าวอ้างถึงเกิดความตกใจ วิตกกังวล ความจริงเป็นแค่พนักงานสอบสวนเพียงรับแจ้งเพื่อจะทำการสอบสวนเท่านั้นเอง และสิ่งที่เขามาแจ้ง มีการกระทำจริงหรือไม่ ถ้ามีการกระทำเกิดขึ้นการกระทำดังกล่าว เป็นอาญาหรือไม่ ซึ่งยังมีหลายขั้นตอน ณ เวลานี้ยังไม่มีการขอหมายจับแต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนคนแจ้งอาจส่อกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในขบวนการสอบสวน อาจจะเชิญมาสอบถามถึงเรื่องคดีอีกครั้ง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net