Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

เยอรมันเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สองด้วยยุทธการ "สายฟ้าแลบ(Blitzkrieg)" โดยผสานกำลังทางบกและอากาศอย่างรุนแรง เข้มข้น ในชั่วระยะเวลาเพียงปีกว่าๆ ยุโรปเกือบทั้งทวีป ยกเว้น เกาะอังกฤษ ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของเยอรมัน 

ในอีกไม่กี่เดือนภายหลังจากการยึดครองทวีปยุโรป เยอรมันเปิดยุทธการ "สายฟ้าแลบ" อีกครั้ง ด้วยกำลังทหารกว่าสามล้านคน เพื่อเข้ายึดครองรัสเซีย และหวังที่จะใช้ดินแดนรัสเซีย ซึ่งมีทรัพยากรจำนวนมาก ในด้านการผลิตอาหาร และทรัพยากรที่จำเป็นต่อการทำสงครามในระยะยาว เช่น น้ำมัน เป็นฐานที่มั่นหลักในการสร้างจักรวรรดิไรทซ์ที่สาม โดยมีชนเผ่าอารยันเป็นผู้ปกครองโลก ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่ใช่อารยัน 

การบุกอย่างสายฟ้าแลบ กลายเป็นสงครามที่โหดเหี้ยม สังหารผู้คนนับจำนวนหลายล้านคน เพื่อสร้างความน่าสะพรึงกลัว บีบบังคับให้ชาวรัสเซียต้องยอมแพ้ในเวลาอันรวดเร็ว

ในช่วงเวลาไม่กี่เดือน กองทัพเยอรมันอยู่ห่างจากกรุงมอสโคว์ไม่กี่กิโลเมตร พวกเขาเตรียมประกาศชัยชนะขั้นเด็ดขาดในไม่อีกกี่อึดใจ แต่ข่าวที่ส่งไปยังกรุงเบอรลินในเวลาต่อมา ทำให้พวกเขาต้องยกเลิกงานฉลองชัยโดยกระทันหัน การรุกอย่างรวดเร็วโดยสงครามสายฟ้าแลบ ถูกตีโต้กลับและไม่สามารถรุกต่อไปได้ เป็นลางหายนะครั้งแรกของกองทัพเยอรมัน

นักวิเคราะห์ทางการทหารแจ้งกับฮิตเลอร์ ถึงความล้มเหลวของยุทธการสายฟ้าแลบ หนึ่งในสาเหตุหลักที่ส่งผลต่อความพ่ายแพ้ของกองทัพเยอรมันเป็นครั้งแรกคือ ความสามารถของอุตสาหกรรมในการผลิตปัจจัยที่ใช้ในสงครามภายในประเทศเยอรมัน ไม่เพียงพอต่อขนาดของสงครามที่กำลังดำเนินไป ตรงกันข้าม รัสเซียสามารถระดมทรัพยากรในทุกด้านเพื่อการผลิตปัจจัยทางสงครามบวกกับความช่วยเหลือของอเมริกาและอังกฤษ ทำให้ศักยภาพในการผลิตเพื่อการทำสงครามมีขนาดใหญ่โตกว่าเยอรมันเกือบสิบเท่า 

นอกจากนั้น ข่าวความโหดเหี้ยมของกองทัพเยอรมันที่สังหารทหารและพลเรือนจำนวนหลายล้านคน และการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวในเขตยึดครองอีกหลายแสนคน ทำให้ประชาชนชาวรัสเซียที่ก่อนหน้าสงคราม ไม่ค่อยพอใจผู้นำของตัวเอง กลับรวมกันเป็นเอกภาพด้วยความโกรธแค้น กลายเป็นพลังที่ร่วมกันต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ

ถ้ากองทัพเยอรมัน ย้อนกลับไปแก้ไขประวัติศาสตร์ในปี 1941 ได้ พวกเขาคงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อหยุดยั้งความดันทุรังของชนชั้นนำในเวลานั้น ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมไหน ในสายตาของนักประวัติศาสตร์รุ่นหลัง เยอรมันสูญเสียความสามารถในการเอาชนะสงครามตั้งแต่ปี 1941 แต่ความจริง สงครามยังดำเนินต่อไปอีกกว่าสามปีครึ่ง ยุโรปถูกทำลายล้างแบบพินาศย่อยยับ สูญเสียชีวิตผู้คนอีกจำนวนมหาศาล ที่แต่ละชีวิตมีสายใยของผู้ที่ห่วงใยอยู่เบื้องหลังจำนวนมาก
  
มีคำอธิบายมากมายจากเหล่าผู้นำเยอรมันในปี 1941 ว่าทำไมเยอรมันจำเป็นต้องทำสงครามต่อไป นอกเหนือจากคำอธิบายทางเทคนิคที่พวกเขาพยายามหลอกตัวเองว่า เยอรมันมีโอกาสที่จะชนะแล้ว ข้ออ้างที่เหล่าผู้นำเผด็จการใช้มาทุกยุคทุกสมัย คือพวกเขากำลังทำเพื่อชาติ เพื่อประชาชน 

แม้ตอนท้ายสุด ก่อนที่กองทัพแดงจะบุกเข้ากรุงเบอรลิน ท่ามกลางทหารและประชาชนที่พลีชีพเพื่อเยอรมันอันเป็นที่รักหลายล้านคนในแนวรบด้านตะวันออกและตะวันตก ฮิตเลอร์ตำหนิพลเมืองเยอรมัน ที่ไร้ความสามารถในการปกป้องประเทศ และกล่าวว่า พลเมืองเยอรมันทุกคนควรที่จะต้องพินาศไปพร้อมๆ กับชาติเยอรมันอันยิ่งใหญ่ ความพินาศทั้งหมดเป็นของประชาชน ไม่ใช่ความผิดของเหล่าผู้นำ 

เยอรมันนี ไม่ได้แพ้สงครามทางการทหาร แต่แพ้เพราะไม่สามารถระดมทรัพยากรจากทุกภาคส่วนเพื่อการผลิตในการทำสงคราม ความหวังจากการใช้กำลังแรงงานจำนวนมหาศาลในดินแดนที่เข้ายึดครอง และกำลังแรงงานจากเชลยศึกหลายล้านคน ไม่บรรลุเป้าหมาย เพราะการควบคุมประชากรแรงงานจำนวนมหาศาลโดยวิธีบังคับอย่างเข้มงวด มีต้นทุนสูง ในขณะที่แรงงานขาดแรงจูงใจ ส่วนการยึดครองเพื่อครอบครองวัตถุดิบในประเทศต่างๆ ก็ไม่บรรลุตามวันเวลาที่กำหนดไว้ การทิ้งระเบิดจำนวนมหาศาลต่อเมืองที่เป็นที่ตั้งของเขตอุตสาหกรรมทางการทหารหลักในเยอรมัน ยิ่งทำลายศักยภาพของอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้ในสงคราม

มีงานวิจัยประวัติศาสตร์จำนวนมากที่พยายามหาคำอธิบายต่อคำถามที่ว่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าเยอรมันกำลังทำสงครามที่ไม่มีทางชนะ แต่กลับไม่มีผู้นำกองทัพหรือผู้นำพลเรือนคัดค้านความล่มสลายที่กำลังปรากฎต่อหน้าอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีการลุกฮือของพลเมืองในความโหดเหี้ยมของรัฐที่กระทำต่อคนในชาติตัวเองและเพื่อนบ้าน จริงหรือไม่ ที่การปกครองด้วยความน่าสะพึงกลัวอย่างขีดสุด ด้วยการสังหารผู้ที่เห็นต่างจากพรรคนาซี ทำให้เยอรมันในเวลานั้น กลายเป็นสังคมที่ไร้การต่อต้าน การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวหลายล้านคน กระทำไปได้อย่างไรท่ามกลางการเมินเฉยของพลเมืองเยอรมัน ที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมและปรัชญาในเรื่องสิทธิมนุษยชน  

งานวิจัยเหล่านี้ นำไปสู่การเรียนรู้เรื่องราวที่สลับซับซ้อนของเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วงเวลานั้น งานศึกษาที่เปิดเผยเงื่อนงำต่างๆ เหล่านี้ นำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องเสรีภาพ ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน

ภายในช่วงเวลาไม่กี่สิบปีหลังจากที่เยอรมันและประเทศในยุโรปสร้างสังคมขึ้นมาใหม่จากความหายนะ พวกเขามีข้อสรุปร่วมกันว่า การปกครองด้วยลัทธิเผด็จการนำสังคมไปสู่การทำลายล้างตัวเองอย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยเป็นเวลากว่าแปดสิบปี ภายหลังสงครามยุติ ความคิดของลัทธิเผด็จการไม่มีที่ยืนในสังคมยุโรป 

ถ้าการรัฐประหารของไทยในปี 2549 เป็นการเริ่มต้นการทำลายล้างตัวเองของชนชั้นนำไทยและสังคมไทย การรัฐประหารในปี 2557 ก็ตอกย้ำความเชื่อของเผด็จการ ที่มีข้ออ้างจำนวนมากในการอธิบายความจำเป็นของการรัฐประหาร เหมือนที่ชนชั้นนำเยอรมัน อธิบายในปี 1941 ถึงความจำเป็นของการทำสงครามต่อไปเพื่อให้ได้ชัยชนะ

ถ้าจะมีการรัฐประหารในปี 2563 ซึ่งน่าจะเป็นการทำรัฐประหารโดยฝ่ายผู้กุมอำนาจเอง เพื่อหยุดยั้งกระแสการต่อต้านการปกครองของตนเอง การรัฐประหารจะเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติการณ์ทางสุขภาพที่ร้ายแรง วิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจยืดเยื้อไปอีกหลายปี วิกฤติความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมและการเข้าสู่อำนาจ รวมทั้งสภาพสังคมที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รุนแรง จากการ disruption ในทุกๆ มิติของสังคม

การรัฐประหารจะทำสำเร็จลงได้ จำเป็นต้องกวาดล้างเหล่าผู้นำการต่อต้าน และใช้ความรุนแรงอย่างขีดสุดกับผู้คัดค้านบนท้องถนน ในท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่ควบคุมไม่ได้เหมือนในอดีต และทัศนคติของพลเมืองที่มีต่อรัฐที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน การกวาดล้าง จะเผชิญแรงต่อต้านอย่างรุนแรง ด้วยกลวิธีที่นอกเหนือความคาดหมาย

แม้การกวาดล้างที่กระทำต่อผู้คัดค้านอย่างรุนแรง จะเห็นผลในช่วงระยะเวลาอันสั้น แต่ความไม่พอใจในหมู่ประชาชนจำนวนมากที่มีต่อความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และการขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งความรู้สึกขมขื่นกับการใช้อำนาจดิบทางการเมือง จะทำให้การต่อต้านดำเนินไปอย่างเข้มข้น ทั้งบนดินและใต้ดิน การประเมินเพื่อหามาตรการในการควบคุมการต่อต้านในอนาคตเป็นไปด้วยความยากลำบาก ยิ่งความไม่พอใจดำเนินไปโดยไม่สามารถควบคุมได้ ยิ่งมีโอกาสที่กลไกรัฐจะสูญเสียการควบคุมจากศูนย์กลาง

เมื่อไม่สามารถควบคุมผลกระทบทางเศรษฐกิจ และไม่มีพลเรือนที่มีความสามารถเข้าร่วมบริหารประเทศ ถูกนานาชาติกดดัน สถานการณ์ยิ่งดำดิ่งไปสู่ความหายนะ ความรุนแรงและความขัดแย้งที่บานปลายออกไปไกลเกินกว่าการประนีประนอม ส่งผลให้การทำลายล้างตนเองดำเนินไปถึงจุดสูงสุด จนนึกภาพของสังคมไทยในเวลานั้นไม่ออก ว่าจะเผชิญกับความหายนะในระดับใด ถึงตอนนั้น แม้แต่ชนชั้นนำและเศรษฐีทั้งหลายก็ติดกับอยู่ภายในประเทศ เนื่องจากทั่วโลกยังอยู่ในภาวะการระบาดของโรค พวกเขาจะเริ่มแตกแยกและเรียกร้องให้รัฐที่มาจาการรัฐประหารประนีประนอมกับความเห็นต่าง

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะจบลงด้วยหายนะในรูปแบบต่างๆ หรือจบลงด้วยการหนีออกนอกประเทศของชนชั้นนำบางส่วน นักประวัติศาสตร์ในอนาคต จะสรุปร่วมกันว่า การรัฐประหารในปี 2549 2557 และ 2563 (ถ้าเกิดขึ้น) นอกจากจะเป็นการสูญเปล่าแล้ว ยังนำความพินาศมาสู่สังคมไทยต่อเนื่องยาวนานอีกหลายสิบปี กว่าที่สังคมไทยจะเริ่มต้นขึ้นใหม่ และกลายเป็นสังคมไทยที่ไม่เหมือนเดิมอีกตลอดไป

ในธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตที่มีความผันแปรบางอย่าง สอดคล้องต่อความอยู่รอดของกลุ่มประชากรของตน และถ่ายทอดความผันแปรดังกล่าวไปสู่ลูกหลาน จนกลายเป็นผู้ที่อยู่รอดได้จากการคัดสรรโดยธรรมชาติ ดังเช่น ยีราฟที่มีคอยาว อยู่รอดได้ดีกว่าในบริเวณที่แห้งแล้ง และถ่ายทอดลักษณะคอยาวให้ประชากรยีราฟส่วนใหญ่อยู่รอดได้อย่างเหมาะสม แต่ในทางตรงกันข้าม มีสิ่งมีชีวิตบางประเภทที่มีความผันแปรที่เป็นประโยชน์ส่วนตน แต่กลับเป็นภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของกลุ่มประชากรของตน

วางเขาใหญ่ตัวผู้ในเขตอเมริกาเหนือ มักจะเป็นผู้ชนะกวางเขาเล็กในการต่อสู้เพื่อครอบครองตัวเมียทั้งฝูง กวางตัวผู้ที่มีเขาเล็ก จึงไม่มีโอกาสแพร่พันธ์ไปสู่ลูกหลาน แต่ยิ่งมีกวางตัวผู้เขาใหญ่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกลายเป็นเหยื่อของสัตว์นักล่ามากเท่านั้น เนื่องจากเขาที่ใหญ่โตหลบหนีได้ยาก กวางตัวผู้เขาใหญ่จึงกลายเป็นภัยคุกคามความอยู่รอดของกวางทั้งฝูง ความใหญ่โต และการใช้อำนาจของกวางเขาใหญ่ บรรลุวัตถุประสงค์ส่วนตัว แต่กลับทำลายล้างฝูงกวางของตนเองทีละเล็กทีละน้อย ในสิ่งมีชีวิตบางอย่าง พฤติกรรมดังกล่าวนำไปสู่การสูญพันธ์ในท้ายที่สุด

อำนาจ และชัยชนะในช่วงเวลาสั้นๆ จึงไม่ใช่บทสรุปของผู้ที่เหมาะสมกับการอยู่รอด ในการคัดสรรตามธรรมชาติ
  
 

ที่มาภาพ: Charles Chaplin THE GREAT DICTATOR

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net