คดีทวงคืนผืนป่าของ แสงเดือน ตินยอด จากชั้นต้นยกฟ้อง สู่อุทธรณ์ลงโทษ กับคำถามต่อบรรทัดฐานของกระบวนการยุติธรรม พร้อมลำดับเหตุการณ์ทวงคืนผืนป่าบ้านแม่กวัก สู่คดีของ 'แสงเดือน'
“เขาบอกว่าถ้าเราไม่ตัด เขาจะเอาคดีมาให้ ตอนนั้นยางเราก็ใกล้จะกรีดแล้ว ลูกเราก็เรียนอยู่ ก็ต้องตัดไปทั้งน้ำตา เพราะไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปส่งลูกเรียน”
วันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง” หรือชื่อเดิม “แสงเดือน ตินยอด” หญิงชาวบ้านแม่กวัก ต.บ้านอ้อน อ.งาว จ.ลำปาง กล่าวอย่างสิ้นหวังเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในปี 2556 ที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท (เตรียมการ) บังคับให้ตัดฟันยางพาราของตัวเอง ปัจจุบันเธอถูกดำเนินคดีจากเจ้าหน้าที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่โป่ง ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และมีอาวุธไว้ในครอบครอง แม้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเธอไม่ได้บุกรุก และอาวุธนั้นไม่ใช่ของเธอ
วันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง” หรือชื่อเดิม “แสงเดือน ตินยอด”
จนเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562 อัยการได้แจ้งว่า สั่งฟ้อง 'วันหนึ่ง' เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และให้ 'วันหนึ่ง' ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ศาลจังหวัดลำปาง ต้องใช้หลักทรัพย์ประกันตัว 1.5 แสนถึง 2 แสนบาท นอกจากนั้นยังถูกคิดค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อม หรือ คดีโลกร้อน เป็นค่าเสียหายทั้งหมดกว่า 1 ล้านบาท ต่อมาเมื่อช่วงวันที่ 9-12 กันยายน 2562 'วันหนึ่ง' ได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ปักหลักชุมนุมอยู่ที่หน้าองค์การสหประชาชาติ โดยได้เจรจากับรัฐบาลและกองทุนยุติธรรม ได้ข้อสรุปว่า อรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ในขณะนั้นจะมอบหมายให้ชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และนำข้อเท็จจริงนั้นขึ้นเบิกความต่อศาลเพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาคดี
คำพิพากษา
หลังจากนั้นวันที่ 18 ธันวาคม 2562 'วันหนึ่ง' เดินทางไปที่ศาลจังหวัดลำปาง พร้อมด้วยตัวแทนจากสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และกองเลขานุการประมาณ 20 คนที่ไปร่วมให้กำลังใจ ในวันนั้นศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง อย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการได้เป็นโจทย์ยื่นอุทธรณ์ และได้มีการนัดให้ 'วันหนึ่ง' ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ณ ศาลจังหวัดลำปางอีกครั้งในวันที่ 8 กันยายน 2563 ซึ่งปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาจำคุก 'วันหนึ่ง' พร้อมพวก 1 ปี และคิดค่าเสียหาย 4 แสนบาท นอกจากนั้นยังคิดค่าดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2561 ร้อยละ 7.5 ต่อปี อีกทั้งยังมีคำสั่งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและพืชผลอาศัยออกจากพื้นที่ดังกล่าวด้วย
ป้ายตรวจยึดปักไว้กลางแปลงทำกินของ ’วันหนึ่ง’ ภายหลังถูกดำเนินคดี
ลำดับเหตุการณ์ทวงคืนผืนป่าบ้านแม่กวัก สู่คดี 'วันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง'
ชุมชนบ้านแม่กวัก หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านอ้อน อำเภองาว จังหวัดลำปาง ก่อตั้งเป็นชุมชนตั้งแต่ปี 2430 ถูกประกาศเป็นพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่โป่งในปี 2514 จากประวัติชุมชนและคำบอกเล่าจากชาวบ้านชี้ว่า ชาวบ้านแม่กวักอยู่มาก่อนการประกาศเขตป่าสงวนฯ โดยหลังจากนั้นในปี 2528 เจ้าหน้าที่ป่าสงวนฯ ได้ทำโครงการอนุญาตให้ชาวบ้านใช้พื้นที่ในรูปแบบใบแสดงว่ามีสิทธิ์ทำกิน (สทก.1) ให้ชาวบ้านแม่กวักได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่โป่ง เรื่อยมาจนถึงการอนุญาตให้ชาวบ้านต่ออายุใบขออนุญาตทำกินในรูปแบบ สทก.2 เมื่อปี 2538 เพื่อเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้แสดงเจตจำนงในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ต่อไป
หลังจากนั้นในปี 2535 ได้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาติดป้ายประกาศเป็นพื้นที่เตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท โดยชุมชนยืนยันว่า เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ไม่ได้ลงพื้นที่ชี้แจงวัตถุประสงค์ในการประกาศ และชี้แจงแนวเขตว่าจุดไหน อย่างไร ทำให้ชาวบ้านเริ่มเดือดร้อน ผลพวงหลังจากนั้นคือ ในปี 2540 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้เข้ามาชี้แจงชุมชน กำชับไม่ให้เข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ จนเกิดการจับกุมดำเนินคดี นายเสาร์แก้ว โพรโส ผู้ครอบครองเนื้อที่ทำกินประมาณ 5 ไร่ ข้อหาบุกรุกพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานฯ แม้เจ้าตัวจะให้การยืนยันว่าได้ทำกินในพื้นที่มาก่อนหน้านั้น
คดีที่สองเกิดขึ้นในปี 2555 นายธงชัย ใจเย็น ถูกตั้งข้อหาบุกรุกพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานฯ แม้จะมีหลักฐานใบ สทก. เพื่อแสดงว่าตนได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่อยู่ก่อนและทำกินมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตามมาด้วยคดีของ แสงเดือน ตินยอด หรือ วันหนึ่ง ยาวิชัยป้อง ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการตัดฟันยางพาราในปี 2556 การดำเนินการกับ 'วันหนึ่ง' มีลักษณะที่แตกต่างจากคดีอื่น เพราะเป็นการบังคับขู่เข็ญจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ให้เธอตัดฟันยางพาราของตัวเอง อ้างว่า หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกดำเนินคดี ทำให้ 'วันหนึ่ง' ต้องจำใจตัดฟันยางพาราที่อีกไม่นานจะถึงเวลาได้กรีดของตัวเองทั้งน้ำตา
เมื่อความเดือดร้อนเริ่มหนักขึ้น ในปี 2558 ชาวบ้านแม่กวักได้ร่วมมือกันจัดทำแผนที่ชุมชนประกอบการแก้ไขปัญหาตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 แต่ถูกนายอำเภอข่มขู่ไม่ให้ชาวบ้านดำเนินการในรูปแบบของโฉนดชุมชน อ้างว่าผิดกฎหมาย และจะยึดคืนข้อมูลทั้งหมดพร้อมทั้งดำเนินคดีชาวบ้าน ซึ่งความเดือดร้อนก็เกิดขึ้นจริงในวันที่ 2 กรกฎคมปีเดียวกัน 'วันหนึ่ง' ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท (เตรียมการ) ขู่ให้ตัดยางพาราอีกครั้งในพื้นที่ทำกิน 10 ไร่ จำนวน 760 ต้น หากไม่ดำเนินการจะถูกดำเนินคดี โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า หากดำเนินการตัดเองแล้วสามารถทำกินได้ดังเดิม 'วันหนึ่ง' จำเป็นต้องดำเนินการ แม้จะยืนยันว่าใช้ประโยชน์ต่อจากบรรพบุรุษมาตั้งแต่ปี 2508 และมีเอกสาร สทก. ตั้งแต่ปี 2537 มายืนยัน
วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ 2560 เจ้าหน้าที่นำเฮลิคอปเตอร์บินสำรวจและจอดลงในพื้นที่ทำกินบ้านแม่กวักโดยไม่ได้แจ้งให้ชาวบ้านทราบ ซึ่งชุดปฏิบัติการนั้นประกอบด้วยเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ตำรวจ และทหาร โดยได้ชี้แจงว่า ชาวบ้านบุกรุกพื้นที่สวนป่าเดิม ซึ่งชาวบ้านก็ได้ชี้แจงว่าแนวเขตสวนป่าอยู่ข้างบน ไม่ได้ครอบคลุมที่ทำกินชาวบ้าน แต่ทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าเนื้อที่สวนป่าครอบคลุมทั้งหมด
คดีความของ 'วันหนึ่ง' เริ่มขึ้นในวันที่ 8 กันยายน 2561 โดยเจ้าหน้าที่หน่วยงานพิทักษ์ป่าที่ 13 (แม่โป่ง) ได้สนธิกำลังเข้าตรวจยึดแปลงยางพาราของ 'วันหนึ่ง' และแจ้งข้อกล่าวหา “ร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง ทำไม้ เก็บหาของป่าหรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต"
หลังจากนั้น ในเดือนพฤศจิกายน 2561 'วันหนึ่ง' ได้เข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ระดับจังหวัด ณ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านอ้อน ซึ่ง 'วันหนึ่ง' ยืนยันว่า ต้องการเงินค่าชดเชยจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท (เตรียมการ) แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยินยอมให้เงินชดเชย อ้างว่าไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการตัดฟันด้วยตนเอง แม้ข้อเท็จจริงที่ออกจากปาก 'วันหนึ่ง' จะกล่าวว่าถูกบังคับให้ต้องดำเนินการตัดฟันโดยนำคดีความมาปิดปาก นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ยังอ้างว่าพื้นที่ของ 'วันหนึ่ง' ถูกกันออกจากพื้นที่เตรียมการประกาศอุทยานฯ แล้ว จึงเป็นพื้นที่ดำเนินการของป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่โป่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ป่าสงวนฯ ที่เข้าไปดำเนินการยืนยันว่า 'วันหนึ่ง' บุกรุกพื้นที่ป่าจริง ต่อมา พนักงานอัยการจังหวัดลำปางได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง 'วันหนึ่ง' และพวกรวม 2 คน เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 โดยพนักงานอัยการได้ขอให้ศาลพิพากษาสั่งให้จำเลยออกจากพื้นที่ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งชดใช้ค่าเสียหายคดีโลกร้อนกว่า 1 ล้านบาท
เมื่อเป็นเช่นนั้น ‘วันหนึ่ง’จึงเข้าร่วมการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่กับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) ในระหว่างวันที่ 9-12 กันยายน 2562 ณ หน้าสำนักงานองค์การสหประชาชาติ ได้เข้าเจรจากับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรียกร้องให้อธิบดีกรมป่าไม้มอบหมายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงนั้นแล้วก็ให้แถลงต่อศาลเป็นพยานของฝ่ายจำเลยด้วย ซึ่งอธิบดีกรมป่าไม้ก็ได้มอบหมายนายชีวะภาพ ชีวะธรรม ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ เป็นผู้ดำเนินการ นอกจากนั้นยังได้ยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกาเพื่อร้องขอความเป็นธรรมอีกด้วย
หลังจากผ่านกระบวนการสืบพยานจนครบทุกฝ่าย ศาลจังหวัดลำปางได้มีนัดให้’วันหนึ่ง’เข้ารับฟังคำพิพากษา ณ ศาลจังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562 มีคำสั่งให้ยกฟ้อง สรุปความจากคำพิพากษาได้ว่า จำเลยขาดเจตนา การทำกินของจำเลยมีหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศเมื่อปี 2545 โดยมีร่องรอยการทำกินมาตั้งแต่ปี 2497 เข้าหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 มิถุนายน 2541 และเป็นกลุ่มประชาชนที่ได้รับการผ่อนผันตามคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 จึงไม่ถือเป็นความผิดอาญา เมื่อไม่ผิดอาญา จึงไม่ต้องชำระค่าเสียหายคดีโลกร้อนกว่า 1 ล้านบาท นอกจากนั้นเรื่องอาวุธปืนที่เจ้าหน้าที่ป่าสงวนฯ อ้างว่าเป็นของจำเลยนั้นก็ไม่มีหลักฐานประจักษ์ชัดว่าเป็นของจำเลยจริง จึงต้องยกประโยชน์ให้จำเลย
นอกจากนั้น ศาลยังวินิจฉัยว่า การดำเนินการตามแนวทางโฉนดชุมชนของชุมชนบ้านแม่กวักตั้งแต่ปี 2556 นั้น เป็นการดำเนินการไปตามนโยบายของรัฐบาล ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ.2553 เป็นนโยบายที่ชอบด้วยกฎหมาย การที่เจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจยึดพื้นที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล มิใช่ปฏิบัติตามดุลยพินิจของตนเอง
แผนที่แปลงตรวจยึด (ขอบสีแดง) ที่มีมากกว่าขอบเขตน้ำชี้ที่’วันหนึ่ง’ใช้ประโยชน์อยู่จริง (ขอบสีน้ำเงิน) ทั้งหมดอยู่นอกขอบเขตการเตรียมการประกาศอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท
อย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการจังหวัดลำปางก็ยังยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น มีจดหมายนัดให้’วันหนึ่ง’เข้ารับฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในวันที่ 8 กันยายน 2563 ณ ศาลจังหวัดลำปาง หลังใช้เวลาอ่านคำพิพากษากว่า 1 ชั่วโมง ศาลได้พิพากษาจำคุก’วันหนึ่ง’กับพวกรวม 2 คน 1 ปี ไม่รอลงอาญา รวมทั้งเรียกค่าเสียหาย 4 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2561 ข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยเจตนา และมีคำสั่งให้ออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่โป่ง รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ จำเลยทั้งสองต้องใช้เงิน 48,000 บาท ในการซื้อหลักทรัพย์เพื่อประกันตนเอง โดยไม่รับความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมเลยแม้แต่น้อย อ้างว่า “คดีทวงคืนผืนป่าเป็นคดีนโยบาย เป็นเรื่องความมั่นคง”
ทั้งนี้ “ทวงคืนผืนป่า” ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 64/2557 ถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2557 ผลกระทบก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีคำสั่ง คสช. ที่ 66/2557 ที่ว่า “การดําเนินการใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทํากิน ซึ่งได้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นๆ ก่อนคําสั่งนี้มีผลบังคับใช้ ยกเว้นผู้ที่บุกรุกใหม่ จะต้องดําเนินการสอบสวน และพิสูจน์ทราบ เพื่อกําหนดวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและดําเนินการ ตามขั้นตอนต่อไป” จะเห็นได้ว่า กรณีของบ้านแม่กวักเข้าข่ายการคุ้มครองตามคำสั่ง คสช. ที่ 66 ชัดเจน แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่นำมาปฏิบัติจริง
ใน 5 ปีให้หลัง สถิติคดีเกี่ยวกับการบุกรุกป่าไม้ของกรมป่าไม้และอุทยานแห่งชาติฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วยการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายเข้มข้นและไร้การตรวจสอบ โดยมีคดีบุกรุกป่าทั้งสิ้น 46,600 คดี จำแนกเป็นในพื้นที่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ ช่วง ต.ค. 2556 - ก.ย. 2561 จำนวน 34,804 คดี และกรมอุทยานฯ ช่วง ต.ค. 2556 - ก.ย.2562 มีจำนวน 11,796 คดี
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)