ศาลยกฟ้อง 3 จำเลยคดีสหพันธรัฐไทเชียงใหม่ เพียงแค่ใส่เสื้อดำไม่ได้ผิด ม.116-อั้งยี่

ศาลยกฟ้อง 3 จำเลย คดีสหพันธรัฐไท จ.เชียงใหม่ ระบุเพียงสวมเสื้อสีดำเป็นเสรีภาพ แม้เคยฟังรายการสหพันธรัฐ แต่ไม่ได้ร่วมจัดรายการ ชักชวนให้ประชาชนออกมาต่อต้านจนถึงจะทำให้เกิดความปั่นป่วนและความไม่สงบ และไม่มีพฤติการณ์ก่อความรุนแรง จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดผิดฐานยุยงปลุกปั่นและเป็นอั้งยี่

17 ก.ย.2563 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2563 เวลา 10.00 น. ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดฟังคำพิพากษาคดีจำเลยสามราย ได้แก่ แดนศักดิ์, “อัมพร” (นามสมมติ) และภานุ ซึ่งสวมเสื้อดำไปบริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2561 ตามการนัดหมายของกลุ่มสหพันธรัฐไท 

คดีนี้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ยื่นฟ้องทั้งสามคนในข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และเป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 โดยคดีมีการสืบพยานไประหว่างวันที่ 29-30 ก.ค. 2563

กรณีของอัมพร อายุ 51 ปี ประกอบอาชีพเป็นหญิงช่างเย็บผ้าในโรงงานที่จังหวัดเชียงใหม่ เคยถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวไปยังค่ายทหารในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นเวลา 5 วัน ในช่วงระหว่างวันที่ 7-11 ธันวาคม 2561 โดยเจ้าหน้าที่ทหารอ้างอำนาจตามมาตรา 44 เจ้าหน้าที่ได้มีการยึดโทรศัพท์มือถือของเธอไว้ และยังมีการนำกำลังทหารและตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านพักของเธอ โดยไม่ได้มีหมายค้น แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้พบสิ่งใดผิดกฎหมาย 

อัมพรยังถูกนำตัวไปสอบสวนที่สภ.เมืองเชียงใหม่ ก่อนได้รับการปล่อยตัว โดยยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาใด กระทั่งผ่านมากว่าครึ่งปี คือวันที่ 27 มิ.ย. 62 เธอได้ถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตามหมายจับของศาลอาญา ก่อนนำตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาที่กองบังคับการปราบปราม และนำตัวเธอไปฝากขังที่ศาลอาญา โดยนภาพรได้รับอนุญาตให้ประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์ 2 แสนบาท 

ต่อมาวันที่ 15 ส.ค. 62 อัยการได้สั่งฟ้องอัมพรต่อศาลอาญา และต่อมาได้ขอรวมการพิจารณาคดีร่วมกับ แดนศักดิ์และภานุที่สวมเสื้อสีดำไปที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล จ.เชียงใหม่ เป็นคดีเดียวกัน โดยมีเพียงแดนศักดิ์เท่านั้น ที่บนเสื้อมีตราธงสัญลักษณ์สหพันธรัฐไท ขณะที่อีกสองคนสวมเสื้อสีดำที่ไม่มีสัญลักษณ์

 

เวลา 10.00 น. ผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์ 813 ในวันนี้มีจำเลยทั้ง 3 คน ทนายจำเลยจำนวน 3 คน และญาติของจำเลยเข้าร่วมฟังคำพิพากษา 

ศาลอ่านคำพิพากษาโดยเริ่มจากการอ่านฟ้องของโจทก์ โดยโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามว่า ร่วมกันเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีการดำเนิน มีชื่อว่า “องค์การสหพันธรัฐไท” มีความมุ่งหมายเพื่อต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่ระบอบปกครองแบบสหพันธรัฐมีประธานาธิบดีเป็นประมุข 

อีกทั้งจำเลยกับพวกได้ร่วมกันเคลื่อนไหวปลุกระดมสมาชิกและประชาชนทั่วไปผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ได้แก่ โปรแกรมเฟซบุ๊ก โปรแกรมไลน์ ยูทูป ชักชวนสมาชิกแนวร่วมและประชาชนทั่วไปที่บริเวณห้างสรรพสินค้าจังหวัดเชียงใหม่ ให้ออกมาต่อต้านล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านรัฐบาล และต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยมีการชักชวนสมาชิกแนวร่วมที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ โดยจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ศาลพิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในวันดังกล่าว จำเลยทั้งสาม ได้เดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ โดยจำเลยที่ 1 (แดนศักดิ์) สวมเสื้อดำ มีตราธงสัญลักษณ์สหพันธรัฐไท จำเลยที่ 2 (อัมพร) สวมเสื้อสีดำแขนสั้น กางเกงขาสั้นสีดำ และจำเลยที่ 3 (ภานุ) สวมเสื้อสีดำ ลายจตุคามรามเทพ มีเสื้อคลุมสีเทา

พยานโจทก์ พ.ต.ท.แทน ไชยแสง และพ.ต.ท.เสวก บุญจันทร์ เบิกความว่าองค์กรสหพันธรัฐไทมีการจัดรายการโดยแกนนำ 4 คน คือชูชีพ ชีวสุทธิ์ ,วัฒน์ วรรณยางกูร, กฤษณะ ทัพไทย หรือสหายยังบลัด, วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ โดยมีจุดมุ่งหมายเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไปสู่ระบอบปกครองแบบสหพันธรัฐมีประธานาธิบดีเป็นประมุข แบ่งประเทศออกเป็น 10 มลรัฐ โดยมีการออกแบบธงสัญลักษณ์, จัดทำเสื้อ ในระหว่างวันที่ 2-4 ธ.ค. 2561 มีการจัดรายการปลุกระดมทางยูทูบ, ไลน์ ให้สมาชิกกลุ่มสวมเสื้อสีดำและติดธงสัญลักษณ์มารวมตัวกันในวันที่ 5 ธ.ค. 2561 เพื่อต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ 

ศาลเห็นว่าพฤติการณ์ขององค์กรดังกล่าวมีลักษณะเป็นคณะบุคคลที่ปกปิดวิธีดำเนินการ และมีความมุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งเป็นการขัดต่อบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ และมาตราที่ 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

จากคำให้การในชั้นสอบสวน จำเลยทั้งสามยอมรับว่าฟังรายการทางยูทูปขององค์กรสหพันธรัฐไท โดยจำเลยที่ 3 เบิกความว่าฟังรายการเพื่อศึกษาแนวคิด ไม่ได้เชื่อตามที่รายการบอก และไปในสถานที่เกิดเหตุเพื่อสังเกตการณ์ว่าจะมีคนสวมเสื้อสีดำมาตามที่รายการบอกหรือไม่ แต่ไม่พบใครสวมสีเสื้อดำในวันดังกล่าว สอดคล้องกับจำเลยที่ 2 ซึ่งบอกว่าไปซื้อของและไม่พบใครสวมเสื้อดำเช่นกัน ส่วนจำเลยที่ 1 เบิกความว่าไปดูเหตุการณ์ 

อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสามมีพฤติการณ์จัดรายการ แจกใบปลิว หรือเผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับสหพันธรัฐ และมีพฤติการณ์เป็นสมาชิกกลุ่มดังกล่าว ทั้งจากคำเบิกความของพยานโจทก์ พ.ต.ท.ไพบูลย์ นามทอง และ พ.ต.ต.แทน ไชยแสง ยังไม่พบข้อมูลว่าทั้งสามเป็นสมาชิก หรือติดต่อกับแกนนำสหพันธรัฐ และไม่มีหลักฐานว่าทั้งสามได้ติดต่อกันหรือรู้จักกันมาก่อน จึงไม่ถือว่าทั้งสามมีความเป็นสมาชิกของกลุ่ม พยานหลักฐานจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามมีพฤติการณ์เป็นอั้งยี่

ในส่วนความผิดฐานยุยงปลุกปั่น จำเลยทั้งสามสวมเสื้อสีดำ ในวันเกิดเหตุ ตามภาพถ่ายที่โจทก์นำมาแสดง แม้ทั้งสาม รับว่าเคยฟังรายการสหพันธรัฐ แต่ไม่ปรากฎว่าได้มีการร่วมจัดรายการ ชักชวนให้ประชาชนออกมาต่อต้านจนถึงจะทำให้เกิดความปั่นป่วนและความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และไม่มีพฤติการณ์ก่อความรุนแรง 

ในส่วนที่ พ.ต.ต แทน เบิกความว่าระหว่างวันที่ 2-4 ธ.ค. 2561 มีการเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรตินั้น ก็ไม่ปรากฎหลักฐานว่าพวกจำเลยมีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และยังเป็นเสรีภาพที่ประชาชนจะสวมเสื้อชนิดใด สีใดก็ได้ ตราบเท่าที่ไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามไว้ พยานหลักฐานจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116

พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งหมดจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

อ่านรายละเอียด คำเบิกความพยานโจทก์และข้อสังเกตจากการถามค้าน ได้ที่เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน https://www.tlhr2014.com/?p=21369

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท