องค์กรภาคประชาสังคมหลายแห่งส่งจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ของแคนาดายกเลิกขายอาวุธให้กับประเทศซาอุดิอาระเบีย ลบข้ออ้างที่ว่าการผลิตอาวุธสร้างงานให้คนในประเทศโดยที่สหภาพแรงงานโต้แย้งว่าสามารถปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศให้เป็นประโยชน์ต่อโลกมากกว่านี้ได้เช่นผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมต้านโลกร้อน
องค์กรแรงงานแคนาเดียนเลเบอร์คองเกรส ซึ่งเป็นองค์กรแรงงานที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดาร่วมกับสหภาพแรงงานขนาดใหญ่อื่นๆ ลงนามและส่งจดหมายเปิดผนึกต่อนายกรัฐมนาตรี จัสติน ทรูโด ของแคนาดา เพื่อแสดงความเป็นห่วงต่อเรื่องการค้าอาวุธกับซาอุดิอาระเบียที่พวกเขาระบุว่าเป็น "การแสดงออกที่เป็นปัญหาอย่างร้ายแรงในเชิงจริยธรรม, กฎหมาย, สิทธิมนุษยชน และมนุษยธรรม"
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มภาคประชาสังคมได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงผู้นำรัฐบาลแคนาดา ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยส่งจดหมายในแบบเดียวกันถึงทรูโดในช่วงเดือน มี.ค. และ ส.ค. ปี 2562 และในช่วงเดือน เม.ย. 2563 แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ
สาเหตุที่กลุ่มภาคประชาสังคมเหล่านี้ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการและนักกิจกรรมพากันกดดันรัฐบาลแคนาดามาเป็นเวลานานแล้วก็เพราะว่า พวกเขาต้องการให้แคนาดายกเลิกการส่งออกอาวุธยานเกราะเบา (LAVs) ให้กับซาอุฯ เนื่องจากซาอุฯ มีส่วนพัวพันกับสงครามในเยเมนและกรณีการสังหารนักข่าวจามาล คาช็อกกี โดยที่มีการชี้ให้เห็นว่ามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือแสดงให้เห็นการที่ซาอุฯ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ใช้อาวุธของแคนาดาในการสู้รบในสงครามเยเมน
รัฐบาลแคนาดาได้ทำสัญญาการค้าอาวุธให้กับซาอุฯ LAVs เอาไว้นานแล้วตั้งแต่ยุคสมัยของรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมในปี 2557 ในมูลค่า 14,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา (ราว 331,000 ล้านบาท) แต่เพิ่งมีการลงนามอนุมัติโดยรัฐบ่ลของทรูโดหลังจากการเลือกตั้งในปี 2558
ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2561 หลังเกิดกรณีสังหารนักข่าวจามาล คาช็อกกี รัฐบาลพรรคเสรีนิยมของแคนาดาก็สั่งระงับการอนุมัติส่งออกอาวุธใหม่ให้กับซาอุฯ แต่ก็เพิ่งกลับมามีการยกเลิกคำสั่งระงับในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าสัญญาการซื้อขายอาวุธหลายล้านดอลลาร์นี้จะสร้างงานให้กับประชาชนชาวแคนาดาหลายพันตำแหน่งงาน
มีองค์กรที่ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกต่อรัฐบาลทรูโดในครั้งนี้ 39 องค์กร โดยที่สหภาพแรงงานที่เป็นตัวแทนของคนทำงานในภาคการผลิตอาวุธระบุว่าพวกเขาได้พัฒนาแผนการในการทำให้คนงานมีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงได้หลังจากที่มีการยกเลิกการส่งออกอาวุธแล้ว
ไซมอน แบล็ก ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยบร็อคที่เป็นผู้นำการจัดตั้งกลุ่ม "แรงงานต่อต้านการค้าอาวุธ" กล่าวโต้ตอบในเรื่องที่ทางการแคนาดาอ้างว่าการระงับการส่งออกอาวุธจะส่งผลกระทบให้เกิดการสูญเสียตำแหน่งงานว่า มันจะไม่เป็นเช่นที่รัฐบาลกล่าวอ้างเสมอไปเพราะระบบอุตสาหกรรมจะสามารถปรับเปลี่ยนการผลิตให้กลายเป็นการผลิตในแบบที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างการสร้างนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน
จดหมายเปิดผนึกนี้มีการเผยแพร่ในวันเดียวกับที่ครบรอบหนึ่งปีแคนาดายินยอมสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าอาวุธของสหประชาชาติ (ATT) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาข้อตกลงนานาชาติว่าด้วยการให้รัฐบาลในแต่ละประเทศต้องพิจารณาเรื่องการส่งออกอาวุธของตัวเองว่าละเมิดกฎหมายนานาชาติหรือไม่ ภายใต้ ATT ยังระบุห้ามไม่ให้มีการส่งออกอาวุธในเชิงที่จะสร้าง "ความเสี่ยง" ต่อการทำลายสันติภาพและความมั่นคง
ในจดหมายระบุอีกว่าการส่งออกอาวุธของแคนาดาให้กับซาอุฯ ในตอนนี้คิดเป็นร้อยละ 75 ของการส่งออกอาวุธที่ไม่ใช่การส่งออกให้สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับรายได้อาวุธหมายหมื่นล้านดอลลาร์แล้ว แคนาดาให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่เยเมนเป็นเงิน 40 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
เมื่อต้นเดือนนี้ กลุ่มของผู้เชี่ยวชาญประเด็นเยเมนจากยูเอ็นประณามแคนาดาเป็นครั้งแรกว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ "ทำให้ความขัดแย้งดำรงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ" ในเยเมนโดยการค้าอาวุธให้ซาอุฯ
ซีซาร์ จารามิลโล ผู้อำนวยการบริหารของสถาบันโปรเจกต์พลอจแชร์ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยสันติภาพแคนาดากล่าววิจารณ์รัฐบาลแคนาดาว่าการที่พวกเขาค้าอาวุธให้ซาอุฯ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกนับว่าเป็นหนึ่งในความเสี่ยงอีกต่อไปแต่เป็นการละเลยอย่างยิ่งยวดหรือไม่เช่นนั้นก็นับว่าเป็น "การมีส่วนร่วม" ในความรุนแรง และการที่แคนาดาเคยให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามหลักของ ATT ในการตรวจสอบและมีความโปร่งใสเรื่องการส่งออกอาวุธนั้นเป็นแค่ "โวหารลอยๆ" ที่ไม่ได้ทำจริงๆ ตามสัญญา
เรียบเรียงจาก :