กสม. เร่งประสานการคุ้มครองสิทธิมนุ
24 ก.ย.2563 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รายงานว่า จากกรณีเมื่อช่วงเย็น วันที่ 23 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับหนังสือจากกลุ่ม Protection International ขอให้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่
วันนี้ (24 ก.ย.63) ประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการสิทธิ
ประกายรัตน์ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ (24 กันยายน 2563) ตนได้พบและหารือกับอธิบดีกรมคุ้
ขณะที่ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน (กป.อพช.ภาคอีสาน) ออกแถลงการณ์ “หยุดอำนาจรัฐเผด็จการอุ้มทุนโรงโม่หินดงมะไฟ ปกป้องนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม”
รายละเอียดมีดังนี้
แถลงการณ์คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน “หยุดอำนาจรัฐเผด็จการอุ้มทุนโรงโม่หินดงมะไฟ ปกป้องนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม”
26 ปี แห่งการต่อสู้ของกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันได กับการลุกขึ้นมาคัดค้านการทำเหมืองแร่หินปูนหรือโรงโม่หินในพื้นที่ป่าชุมชน ตลอดเส้นทางการต่อสู้ของชาวบ้านคนธรรมดาจากที่เคยจับจอบ จับเสียม ทำไร่ ไถนา ก็ต้องลุกขึ้นมาเขียนหนังสือร้องเรียนหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องเหมืองหินปูนและโรงโม่หิน เพื่อหยุดกระบวนการทำลายป่าชุมชน แหล่งทรัพยากรของชาวบ้านด้วยเหตุว่ามีการปลอมแปลงเอกสารการประชาคม เพื่อประกอบการขออนุญาตทำเหมืองหินของนายทุน แต่นอกจากเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่ดำเนินการตรวจสอบแล้ว ยังคงเดินหน้าอนุญาตราวกับไม่เห็นความผิดพลาด จึงเป็นเหตุให้ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาฟ้องศาล เพื่อให้เพิกถอนประทานบัตรการทำเหมืองหิน โดยในศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนประทานบัตร แต่เมื่อมีการกลับคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ก็เป็นเหตุให้บริษัทเอกชนอาศัยช่องว่างของกฎหมายดำเนินการทำเหมืองโดยไม่ต้องรอการพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด กระบวนการเอื้อกลุ่มทุนกดขี่ชาวบ้านเช่นนี้นำมาซึ่งข้อกังขาต่อกระบวนการยุติธรรมไทยว่ายังคงเป็นที่พึ่งของประชาชนได้หรือไม่ !?
แม้ชาวบ้านจะชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ให้ประทานบัตรนอกเขตแหล่งหินอุตสาหกรรม จึงต้องเพิกถอนประทานบัตรของบริษัทเอกชน แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลกลับเพิกเฉย ในรอบ 26 ปี ที่ผ่านมา ชาวบ้านได้ยื่นหนังสือร้องเรียนและคัดค้านการทำเหมืองหลายร้อยฉบับ ทั้งหน่วยงานรัฐในระดับ ท้องถิ่นและส่วนกลาง แต่หน่วยงานเหล่านั้นกลับนิ่งเฉยและหาวิธีการเปิดช่องให้นายทุน โดยไม่สนใจที่จะกำกับดูแลให้เอกชนดำเนินธุรกิจอย่างเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าระบบราชการไทยแท้จริงนั้นเป็นเพียงกลไกที่คอยรับใช้กลุ่มทุนหาใช่กลไกที่รับใช้ประชาชนตามที่กล่าวอ้าง เมื่อไม่อาจหวังพึ่งข้าราชการได้ ชาวบ้านจึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยตัวเอง ครั้นพอขบวนการต่อสู้ของชาวบ้านมีพลังเข้มแข็ง กระบวนการสกัดกั้นขบวนการชาวบ้านด้วยความ รุนแรงก็เริ่มขึ้น ปี2538 แกนนำชาวบ้าน 2 คน ถูกสังหาร เพื่อเปิดทางให้กระบวนการทำเหมือง แต่เมื่อชาวบ้าน ไม่ยอมแพ้และยังคงเดินหน้าคัดค้านต่อไป จึงมีคำสั่งสังหารแกนนำ 2 คน อีกครั้ง ในปี 2542 การสังหารแกนนำ ทั้ง 4 ศพ เป็นการกระทำที่อุกอาจซึ่งคนในพื้นที่ทราบเป็นอย่างดีว่าใครคือ 'ผู้บงการ' จะมีก็แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่ เคยรับรู้อะไรเลยและ ไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ ในทางกลับกันกลไกรัฐได้ใช้ความรุนแรงกับชาวบ้าน ทั้งการ ข่มขู่ คุกคาม และ อำนวยการควบคุม ติดตามขบวนชาวบ้านมาโดยตลอด โดยเฉพาะ กอ.รมน. เป็นเหตุให้ชาวบ้านนักต่อสู้ต่างสงสัยในบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานรัฐว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการใช้ความรุนแรงกับชาวบ้านหรือไม่
ปรากฏการณ์ล่าสุดคือคำสั่งฆ่าแกนนำรายที่ 5 คือ นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ แกนนำเครือข่ายผู้เป็นเจ้าของแร่แห่งประเทศไทย และ หัวหน้าพรรคสามัญชน ซึ่งมีส่วนสนับสนุนชาวบ้านในการต่อสู้เพื่อปิดเหมืองแร่หินดงมะไฟในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความอุกอาจและไม่เกรงกลัวกฎหมายของกลุ่มนายทุนโรงโม่หินและสะท้อนความล้มเหลวของการบริหารจัดการทรัพยากรของภาครัฐ ดังนั้น คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช. ภาคอีสาน) มีข้อเสนอต่อสาธารณะดังนี้
(1)ขอให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและหน่วยงานรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาติดตาม ตรวจสอบ สถานการณ์ความรุนแรงในกรณีเหมืองหินดงมะไฟอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียของประชาชนอีกต่อไป
(2)ร้องขอให้องค์กรสื่อมวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน เครือข่ายภาคประชาชนและองค์กรสาธารณะทั้งหลายได้ร่วมกันปกป้องนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และรณรงค์ #saveเลิศศักดิ์ ไปด้วยกัน
ด้วยจิตคารวะ
กป.อพช. ภาคอีสาน
24 กันยายน 2563
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)