“มิเพียงลมแผ่วเลือน เดือนตุลา
มิเพียงภาพพฤษภาอันผ่าเผย
มิเพียงยุคสมัย มิใช่เลย
เมล็ดเอยเมล็ดพันธุ์ไร้บั้นปลาย
ตราบจนภาพพฤษภาต้องราเลือน
และลมเดือนตุลายิ่งราสาย
ยัง ‘ขีวิต’ แสนงามในความตาย
ผู้คนของพรุ่งพราย สูดหายใจ”
ข้าพเจ้าเขียนกวีสั้นๆนี้กลางปี 2535
หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
พ.ศ. 2563
ท่ามกลางเปลวไฟโหมไล่อำนาจอธรรม
ท่ามกลางภาพจำอันนำมาซึ่งปีตินับไม่ถ้วน
นิ่งนาน - ข้าพเจ้ายิ้มทั้งน้ำตาแก่ภาพๆนี้...
เธอยืนชูสามนิ้วแสดงคารวะแด่วีรชนเดือนตุลา
ดวงตาเต็มตื้นมากี่ครั้ง... ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตา
เบื้องหน้ากาลเวลา ต่อหน้ามิตรสหาย
เมล็ดพันธุ์ไร้บั้นปลาย
และมิเพียงยุคสมัย มิใช่เลย!
อธรรมต่ำช้าเข่นฆ่าความงาม
ทว่าเวลาอยู่ข้างความงามมาตลอดประวัติศาสตร์
เวลาชุบชู ‘ชีวิต’ แสนงามในความตาย
ให้กลายเป็นกลิ่นหอม
เพื่อผู้คนและความใฝ่ฝันทุกวันพรุ่ง
ได้สูดหายใจ...
เธอยืนอยู่เบื้องหน้าจิตวิญญาณเสรี
14 และ 6 ตุลาคม
จิตวิญญาณเดียวกันนั้นก็สถิตในตัวเธอเอง
เชื่อเถิดว่า
วีรชนเดือนตุลายิ้มเอ็นดูและยืนเคียงบ่าเคียงไหล่
พวกเขาชูสามนิ้วไปพร้อมกับเธอ,
พร้อมกับเยาวชนคนหนุ่มสาวทั้งแผ่นดิน
เธอจักเป็นเปลวเพลิงแห่งความถูกต้องดีงาม
ลามไกลไปเปลี่ยนโลก
เพราะเธอ ‘รู้’ แล้ว
เพราะเธอ ‘เข้าใจ’