Skip to main content
sharethis

เครือข่ายอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได รื้อคดี 4 ศพดงมะไฟ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิฯและภรรยากำนันทองม้วน คำแจ่ม หนึ่งในสี่คนที่ถูกลอบสังหาร บุกยื่นหนังสือทวงความยุติธรรมให้กับสามี ผ่านสภ.สุวรรณคูหา เพื่อเรียกร้อง ผบ.ตร. หาผู้กระทำความผิดมาลงโทษและยุติการลอยนวลพ้นผิด พร้อมเปิดพิรุธ 5 ข้อโหว่ สำนวนสอบสวนคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดี ขณะที่ “เลิศศักดิ์” เสนอแก้ไขข้อกฎหมายแม้คดีหมดอายุความแล้วแต่หากพบหลักฐานใหม่ๆที่น่าสนใจก็สามารถรื้อฟื้นคดีได้

12 ต.ค.2563 เครือข่ายอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได รายงานว่า ที่สถานที่ตำรวจภูธรสุวรรณคูหา อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู วันนี้ (12 ต.ค.63) สอน คำแจ่ม ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันได พร้อมทั้งสมาชิกกลุ่มฯ และ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ หัวหน้าพรรคสามัญชนในฐานะที่ปรึกษากลุ่ม และตัวแทนจากองค์กร Protection International ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ปรีดา สุดชา รองผู้กำกับสภ.สุวรรณคูหา เพื่อยื่นหนังสือผ่าน สภ.สุวรรณคูหา ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อทวงความยุติธรรมกรณีการสังหารนักกำนันทองม้วน คำแจ่ม และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันได และขอให้มีมาตรการคุ้มครองความปลอดภัย และป้องกันการคุกคาม ที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มฯ

สอน กล่าวว่า ตนเข้ามายื่นหนังสือทวงถามความยุติธรรมในวันนี้ ในฐานะภรรยาของทองม้วน คำแจ่ม ที่ถูกลอบสังหารไปเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2542 พร้อมกับสม หรือ ธง หอมพรมมา ซึ่งตนเชื่อว่า การตายของทั้งสองคน น่าจะมาจากการต่อต้านโรงโม่หินในตำบลดงมะไฟ ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ตนได้พยายามติดตามและเรียกร้องความยุติธรรมให้กับทองม้วนมาตลอด ด้วยความเจ็บปวดจากการสูญเสีย แต่การสังหารกำนันทองม้วน และนักปกป้องสิทธิอีกสามคนที่ผ่านมา ได้สร้างความหวาดกลัว และทำให้ตนขาดความมั่นใจในการทวงถามความยุติธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ตอนนี้ตนได้เข้าร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในการปิดเหมืองหินและโรงโม่ เพื่อฟื้นฟูภูผาป่าไม้ และพัฒนาดมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทำให้ตนมีพลังในการกลับมาทวงถามความยุติธรรมให้กับสามีที่ถูกสังหารไป ซึ่งที่ผ่านมา กระบวนการยุติธรรมในการค้นหาผู้กระทำผิดได้ยุติลงจากการที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสุวรรณคูหา และพนักการอัยการจังหวัดหนองบัวลำภู มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ซึ่งตนในฐานะภรรยาและครอบครัว ยังมีความประสงค์ที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับทองม้วน เพื่อที่จะหาผู้กระทำความผิดมาลงโทษและยุติการลอยนวลพ้นผิด ซึ่งหลังจากที่ตนได้อ่านสำเนารายงานการสอบสวนคดีแล้วมีประเด็นที่สงสัยในกระบวนการสอบสวนดังต่อไปนี้

  1. บันทึกการให้ปากคำของตนทีตำรวจส่งให้ดู ไม่ตรงกับการให้ปากคำในครั้งนั้นต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งหากพนักงานสอบสวนได้บันทึกรายละเอียดตามที่ตนให้ไป อาจจะนำไปสู่การสอบพยานหลักฐานที่สำคัญ เพื่อติดตามผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ แต่บันทึกปากคำของตนไม่ตรงที่ให้ปากคำไป ซึ่งตกหล่นไปจากเอกสารดังกล่าว นอกจากนี้ หลังจากที่ได้บันทึกการให้ปากคำเสร็จ เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการอ่านทวนการให้ปากคำของตน จึงทำให้ตนไม่ทราบรายละเอียดในการบันทึกก่อนที่จะเซ็นชื่อเพื่อรับรองการให้ปากคำดังกล่าว
  2. การลอบสังหารทองม้วน เป็นการตายโดยผิดธรรมชาติ ซึ่งในทางกฎหมาย ต้องมีการชันสูตรพลิกศพเพราะเป็นการทำให้ตาย โดยในรายงานการสอบสวนของสภ.สุวรรณคูหา ระบุว่า มีการใบรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ แต่ในข้อเท็จจริงคือ เราไม่เคยเห็นใบรายงานดังกล่าว จึงทำให้เกิดความกังขาว่า ได้มีการชันสูตรพลิกศพจริงหรือไม่ เพราะมีความสำคัญต่อรูปคดี ที่จะหาคนผิดมาลงโทษ
  3. เมื่อวฤทธิ์ หรืออ่อน วิเป ผู้ต้องหา ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๒ พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันกับพวกหรือใช้ จ้างวาน หรือสนับสนุน ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยไต่ตรองไว้ก่อน , มีและใช้อาวุธปืนที่นายทะเบียนมิออกใบอนุญาตให้ได้โดยผิดกฎหมาย พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร” และในวันเดียวกันผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราวโดยมีหลักประกัน โดยขณะนั้นในระหว่างการสอบสวน พนักงานสอบสวนได้มีการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนของกลาง และเปรียบเทียบวัตถุของกลางเป็นอาวุธปืนชนิดเดียวกันที่อยู่บริเวณศพของทองม้วน คำแจ่มตรงสถานที่เกิดเหตุหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ก็มีความสำคัญต่อรูปคดีด้วย
  4. นอกจากนี้ ตามสำเนารายงานการสอบสวนของคดีนี้ ตนอยากขอให้ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรสุวรรณคูหาสั่งการให้ผู้ที่รับผิดชอบตรวจดูและรวบรวมบันทึกการสอบปากคำฉบับเต็มจำนวน 57 ปาก เปิดเผยให้กับตนได้รับทราบ ตามสำเนาการรายงานสอบสวนคดีด้วย
  5. ตนยังมีความสงสัย ในการสอบพยานจำนวน 57 ปากนั้น มีพยานหมายเลข 46-52 เป็นพยานที่อวยชัย วะทา นำเข้ามาเป็นพยานในคดีดังกล่าว แต่ทำไมพนักงานสอบสวน ไม่เรียกอวยชัยมาสอบปากคำด้วย

ดังนั้น ตนจึงมีข้อเรียกร้องให้เกิดความยุติธรรมในคดีของกำนันทองม้วน และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันไดที่ถูกสังหารไปเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ดังนั้น

ขอใบชันสูตรพลิกศพของ ทองม้วน และใบตรวจอาวุธปืน และลูกกระสุนปืนว่าเป็นชนิดเดียวกันกับที่มีการลอบสังหารกำนันทองม้วน หรือไม่ เพราะตามรายงานความคืบหน้า ไม่ได้มีการระบุในประเด็นนี้ไว้ และขอให้ผบ.ตร. มีคำสั่งให้มีการเปิดเผยการสอบปากคำของพยานทั้ง 57 คนแบบที่มีการให้ปากคำเป็นรายบุคคล พร้อมการลงลายมือชื่อรับรองแต่ละฉบับ เนื่องจากที่ตนมีนั้น เป็นการสรุปมาเพียงบางส่วนเท่านั้น และที่สำคัญ ตนอยากขอเน้นย้ำ ให้ผบ.ตร. มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หามาตรการในการรักษาความปลอดภัย ให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชนสมาชิกกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเหล่าใหญ่-ผาจันได , เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ที่ถูกข่มขู่ว่า ว่าจะมีการลอบสังหารแกนนำที่เป็น NGO ซึ่งเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวันสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยในวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา รวมทั้งองค์กรที่เข้ามาสนับสนุนกระบวนการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนเพื่อปกป้องและเรียกร้องสิทธิในการรักษาทรัพยากรไว้ให้คนรุ่นหลังและรักษาพื้นที่ความมั่นคงทางด้านอาหารต่อไปในอนาคต

“ดิฉันทราบดีว่า คดีนี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95  อาจขาดอายุความ  แต่ที่มาครั้งนี้ก็เพื่อทวงความยุติธรรมที่ไม่เคยได้รับและตอกย้ำให้ท่านดำเนินการเร่งรัดคลายข้อสงสัยหรือเปิดเผยเอกสารที่เป็นข้อสงสัยในความบกพร่องของตำรวจและเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับดิฉันและครอบครัวในการที่จะทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเรียกร้องความยุติธรรมเพื่อหาผู้กระทำผิดมาลงโทษในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการทวงคืนความยุติธรรมแล้ว ยังเป็นการป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดย่ามใจว่าการกระทำความผิดเป็นการกระทำโดยชอบและสามารถที่จะกระทำได้อีกด้วย” สอน กล่าว

ขณะที่ พ.ต.ท.ปรีดา สุดชา รองผู้กำกับสภ.สุวรรณคูหาที่เป็นตัวแทนเข้ารับหนังสือกับสอนในครั้งนี้กล่าวว่า ต้องเรียนตามตรงว่าวันนี้สิ่งที่ตนจะทำได้มีเพียง สองอย่างคือ 1. รับหนังสือร้องเรียนซึ่งประเด็นปลีกย่อยต่างๆ ตนได้ฟังจากสอนสรุปให้ฟังแล้วและเข้าใจทุกอย่าง แต่ต้องนำกราบเรียนผู้บังคับบัญชาชั้นสูงเพราะต้องนำส่งถึง ผบ.ตร. ซึ่งก็แล้วแต่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงจะมีคำสั่งการว่าจะให้ทำอย่างไรจะให้มีการรื้อคดีหรือไม่เพราะมันเป็นรายละเอียดปลีกย่อยในทางกฎหมายตนไม่ขอกล่าวตรงนี้แต่จะให้ความเป็นธรรมเต็มที่ และในส่วนประเด็นที่ 2.จากการที่สอนและกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ ผาจันได ได้เข้าร่วมปักปลักปิดเหมืองหน้าทางเข้าเหมืองหิน สภ.สุวรรณคูหาเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเราได้จัดสายตรวจไปทุกวันวันละหลายผลัดหลายครั้ง ฝนตกเราก็ไป เพื่อให้ความปลอดภัยกับประชาชนเต็มที่เท่าที่เราจะทำได้  ซึ่งหลังจากที่ตนได้รับหนังสือแล้วตนและข้าราชการตำรวจจากสภ.สุวรรณคูหาจะรักษาความปลอดภัยให้กับกลุ่มให้ได้รับความปลอดภัยตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่และหากประชาชนท่านใดไม่ได้รับความปลอดภัยหรือถูกคุกคาม หรือมีเบาะแสในเรื่องไหนก็สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เลยทันที

“ส่วนกรณีความคืบหน้าเรื่องความปลอดภัยของ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ หัวหน้าพรรคสามัญชนและที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ที่ถูกขู่ฆ่า จนได้เดินทางเข้าลงบันทึกประจำวันที่สภ.สุวรรณคูหาเมื่อหลายวันก่อนที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจได้จัดหาเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงไปดูแลชาวบ้านและเลิศศักดิ์ในพื้นที่อย่างเต็มที่ ซึ่งหลังจากนี้เราจะนำเรื่องนำเรียนผู้กำกับและจะทำหนังสือตอบชาวบ้านอย่างเป็นทางการไปอีกครั้ง” รองผู้กำกับสภ.สุวรรณกล่าว

เลิศศักดิ์ ที่เดินทางเข้าร่วมยื่นหนังสือชาวบ้านในครั้งนี้ด้วยกล่าวว่า ความน่าสงสัยของคดีนี้คือเอกสารที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งให้กับแม่ขวัญและผู้เสียหายท่านอื่นๆ เราเห็นได้ชัดเจนว่าอาจมีการทำสำนวนสอบสวนเพื่อต้องการที่จะให้ผู้ต้องหาหลุดคดี เราได้ย้อนไปสอบถามพยานหลายปากปรากฎว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาถูกบันทึกไว้แบบนี้ ทั้งที่เขาพูดอีกแบบหนึ่ง เช่นเขาสามารถพูดไปถึงว่าเขาเห็นศพนอนในท่าไหนอย่างไร เห็นการเอามือบังหน้า เห็นเศษชิ้นส่วนอะไรบางอย่างจากลูกกระสุนที่กระทบใบหน้าของผู้เสียชีวิต แต่เรื่องนี้ไม่ถูกบันทึกไว้ในสำนวนสอบสวน  และพยานหลายปากให้การยาวกว่าที่ได้ระบุไว้ในเอกสารของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ซึ่งเอกสารของเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุเพียงว่าพยานรายนี้ ไม่ได้มีความขัดแย้งใดๆกับผู้ตาย ดังนั้นจึงเดาไม่ถูกว่าใครจะมีความขัดแย้งจนถึงกับต้องลงมือฆ่าหลายๆปากบันทึกไว้แบบนั้น ทั้งๆที่ รายชื่อของบุคคลเหล่านั้นเป็นบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนี้โดยตรงเช่น สมาชิก ศ.อบต.หลายท่านที่ยกมืออนุญาตให้มีการทำเหมืองต่อไปได้ และมีการระบุในเอกสารสำนวนสอบสวนว่า ยกมือแล้วได้เงิน 12,000 ราย แต่การสอบสวนก็จำกัดอยู่แค่ อ่อน วิเป และมุ่งสอบสวนไปที่ว่าผู้ตายมีความเกี่ยวข้องกับการค้ายาบ้า ทั้งๆที่ มีหลายรายบอกไว้ชัดเจนว่าการตายของผู้ตายอาจจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง จากการต่อต้านโรงโม่หิน แต่ไม่มีสำนวนใดๆที่เกี่ยวข้องกับโรงโม่หินเลย ซึงแทนที่จะเรียกคนที่มีความขัดแย้งกับผู้เสียชีวิตมาเป็นผู้ต้องหาร่วมแต่คนเหล่านั้นก็ไม่เคยได้รับการเรียกให้มาสอบปากคำเลยอาทิผู้ประกอบการเหมืองแร่ และศ.อบต.หลายคนที่สนับสนุนการทำเหมืองโดยตรงและมีความขัดแย้งกันมาตลอดในการประชุมสภา

“และถึงแม้จะมีเรื่องอายุของคดีความเข้ามาเกี่ยวข้องแต่คดีที่เกี่ยวข้องต่อการกระทำรุนแรงต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ถ้าหากพบหลักฐานอะไรใหม่ๆที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการถูกลอบสังหาร ผมอยากเสนอให้มีการแก้ไขข้อกฎหมายว่าถึงแม้จะหมดอายุความแล้วแต่หากพบหลักฐานใหม่ๆที่น่าสนใจก็สามารถที่จะรื้อฟื้นคดีได้ ซึ่งคดีแบบนี้ก็ไม่ต่างจากคดีของลูกชายกระทิงแดง ถึงแม้จะหมดอายุความแล้วแต่หากได้รับความสนใจจากสาธารณชนก็สามารถที่จะนำกลับมารื้อคดีใหม่ได้ หรือหากเราไม่สามารถที่จะนำคดีความมารื้อใหม่ได้ เราสมควรเอาผิดอย่างยิ่งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่อัยการที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน” หัวหน้าพรรคสามัญชนในฐานะที่ปรึกษากลุ่มกล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net