Skip to main content
sharethis

นักปกป้องสิทธิมนุษยชนเครือข่ายอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ประกาศปักหลักชุมนุมต่อเนื่องอีก 1 ปี มีแผนฟื้นฟูเหมืองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เตรียมสร้างกำแพงประวัติศาสตร์และศูนย์เรียนรู้ โรงเรียนสังคมและการเมืองในพื้นที่ ในขณะที่องค์กรสิทธิฯและกลุ่มฯยังคงห่วงใยความปลอดภัยให้นักปกป้องสิทธิฯที่ถูกคุกคามจากการต่อสู้ พร้อมเรียกร้องกรมคุ้มครองสิทธิฯให้ทำงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพได้จริงมากกว่านี้

13 ต.ค.2563 ที่ปากทางเข้าเหมืองหินดงมะไฟ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนเครือข่ายอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่ผาจันไดได้ร่วมกันอ่านคำประกาศคำประกาศ ฉบับที่ 3 ปักหลักต่อสู้ยืดเยื้อยาวนาน เพื่อผลักดันให้ฟื้นฟูเหมืองและพัฒนาดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยวและโบราณคดี

มณีนุด อุทัยเรือง ตัวแทนกลุ่มฯ อ่านคำประกาศว่า วันนี้เป็นวันครบรอบสองเดือนเต็ม นับตั้งแต่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ซึ่งประกอบไปด้วยประชาชนจากหลายหมู่บ้านและพันธมิตรในตำบลดงมะไฟ ในอำเภอสุวรรณคูหา และในจังหวัดหนองบัวลำภู ได้ยึดเหมืองหินและโรงโม่ของธีรสิทธิ ตรีวัฒน์สุวรรณ หรือ บริษัท ธ. ศิลาสิทธิ จำกัด นับเป็นความสำเร็จที่ภาคภูมิใจยิ่ง พวกเราสามารถปิดเหมืองหินและโรงโม่ได้เอง ด้วยสองมือสองเท้าของพวกเรา

ในคำประกาศระบุอีกว่า'ชุมชนผาฮวกพัฒนา ชาวประชาสามัคคี' จะปักหลักต่อสู้ยืดเยื้อยาวนาน ณ ทางเข้าเหมืองนี้เป็นเวลา 1 ปี เป็นอย่างน้อย เราจะสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรเพื่อจัดทำกำแพงประวัติศาสตร์ ณ ทางเข้าเหมือง เพื่อบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ตลอด 30 ปี และจะเปลี่ยนแปลงดงมะไฟด้วยการผลักดันข้อเรียกร้องสำคัญอีกสองข้อ นั่นคือ ผลักดันให้เกิดการฟื้นฟูเหมือง และพัฒนาดงมะไฟเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมและอารยธรรมโบราณคดี

“สองเดือนเต็มเราได้บรรลุข้อเรียกร้องข้อแรกที่ให้ปิดเหมืองหินและโรงโม่แล้ว ถึงแม้จะมีอุปสรรค ขวากหนามพอสมควรที่เหมืองหินและโรงโม่อาจจะกลับมาใหม่ได้หากเราเผลอ เราจึงจะไม่เผลอและไม่ประมาท ด้วยการปักหลักเฝ้าระวังอยู่ที่นี่ โดยจะไม่ยอมให้เหมืองหินและโรงโม่หิน เข้ามาในพื้นที่อีกต่อไปพร้อมกับการสร้างกำแพงประวัติศาสตร์ เราจะสร้างศูนย์เรียนรู้ และโรงเรียนสังคมและการเมืองไปพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นบ่อเกิดภูมิปัญญาของพี่น้องและลูกหลานคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลังสำคัญในการผลักดันข้อเรียกร้องอีกสองข้อให้เกิดผลสำเร็จให้จงได้” ตัวแทนกลุ่มฯอ่านคำประกาศ

ด้านสุนี อนุเวช นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มอนุรักษ์กล่าวว่า พวกเราจะปักหลักที่นี่อย่างน้อยเป็นระยะเวลา 1 ปี และจะพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และพวกเราจะอยู่ที่นี่ตลอดเพื่อที่จะรักษาและระวังสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพราะยังมีความพยายามในการขอต่ออายุประทานบัตรเหมืองผ่านองค์การบริหารส่วนตำบลดงมะไฟอยู่ และจะเคลื่อนไหวเพื่อไม่ให้อบต.นำคำขอต่ออายุประทานบัตรเหมืองเข้าสู่การพิจารณาของ อบต.อีกต่อไป

ขณะที่เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ที่ปรึกษากลุ่มฯ กล่าวว่า อย่างน้อยที่สุดชาวบ้านสามารถที่จะอยู่ที่นี่ได้ไม่น้อยกว่า 1 ปี และคำประกาศของชาวบ้านเป็นคำประกาศที่น่าสนใจที่จะเป็นบทเรียนให้กับนักต่อสู้กลุ่มอื่น ๆ ได้นำไปเป็นบทเรียนของการต่อสู้ได้ อย่างไรก็ตามในส่วนของข้อเทคนิคเกี่ยวกับการขอต่ออายุประทานบัตรเหมือง ยังมีช่องว่างทางกฎหมายที่ยังเปิดทางให้บริษัทเหมืองต่ออายุได้ใหม่ตลอดเวลา ถึงแม้เอกสารของเขาจะไม่ครบและจะมีความชอบธรรมใด ๆ ก็ตาม หรือแม้กระทั่งหากศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาตามการยื่นฟ้องของชาวบ้านเรื่องใบประทานบัตรที่มิชอบของบริษัทเหมืองหินที่หมดอายุไปแล้ว ถ้าศาลพิพากษาว่าใบอนุญาตให้ทำเหมืองหินที่ผ่านมาเป็นใบอนุญาตที่มิชอบ และสิ่งที่เขาทำผิดก็สมควรที่จะถูกยับยั้ง แต่กฎหมายก็จะลื่นไหลให้เขาขอต่ออายุประทานบัตรเหมืองได้

“ แต่ที่สำคัญคือการเคลื่อนไหวของชาวบ้านไปไกลกว่าขอบเขตของกฎหมายที่ต่ำกว่าจิตสำนึกของชาวบ้านไปแล้ว ตอนนี้ชาวบ้านได้ทำการวางแผนการฟื้นฟูเหมืองแล้ว เขาได้นำกล้าไม้ต้นไม้ไปทำแผนการฟื้นฟูแล้วซึ่งผมเชื่อว่า จิตสำนึกหวงแหนของชาวบ้านจะทำลายขวากหนามของกฎหมายและทำให้เขาไม่สามารถต่ออายุประทานบัตรเหมืองได้ถึงแม้จะต้องลงทุนลงแรงข้อกฎหมายที่ยังต่ำกว่าจิตสำนึกของชาวบ้านก็ตาม”ที่ปรึกษากลุ่มฯกล่าว

ไพฑูรย์ วงศ์คำจันทร์ กล่าวว่าทางกลุ่มอนุรักษ์ฯ ได้รับการติดต่อจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ว่าจะมีการลงพื้นที่เพื่อพบปะกับสมาชิกกลุ่มฯเรื่องการรักษาความปลอดภัยของนักปกป้องสิทธิฯ แต่กรมคุ้มครองสิทธิฯ ติดต่อมากระชั้นชิดมากและทางกลุ่มฯติดภารกิจอื่นที่สำคัญ อีกทั้งตนคิดว่าจะได้รับการติดต่อจากกรมคุ้มครองสิทธิฯเร็วกว่านี้ เพราะที่ปรึกษาและสมาชิกกลุ่มนเองก็ได้ถูกคุกคามมาโดยตลอดระยะเวลาการปักหลักชุมนุมบริเวณหน้าเหมืองหินและโรงโม่ อย่างไรก็ดีทางกลุ่มฯจะประสานงานต่อไปในการลงพื้นที่ของกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และย้ำว่าหน่วยงานทางรัฐอื่นๆ ก็ยังคงต้องดูแลความปลอดภัย ของนักปกป้องสิทธิฯ เพราะการคุกคามยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ปรานม สมวงศ์ องค์กร Protection International กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ในที่สุดกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพประสานงานมาเพื่อลงพื้นที่หลังจากที่ปล่อยให้นักปกป้องสิทธิฯ ต้องต่อสู้อย่างลำพังมและเผชิญการข่มขู่คุกคามถึงขั้นจะเอาชีวิต อย่างไรก็ตามตนมีความหวังว่าหน่วยงานภาครัฐต้องทำหน้าที่ที่มีประสิทธิผลและมีผลในทางปฏิบัติในการคุ้มครองความปลอดภัยของนักปกป้องสทธิฯได้จริง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net