Skip to main content
sharethis

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกแถลงการณ์คัดค้านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเพื่อ “กระชับอำนาจ” ทางการเมือง

15 ต.ค. 2563 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 7/2563 คัดค้านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเพื่อ “กระชับอำนาจ” ทางการเมือง โดยมีรายละเอียดระบุว่าตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม เวลา 04.00 น. เป็นต้นไปนั้น คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ได้ติดตามสถานการณ์เมืองด้วยความห่วงใยมาโดยตลอด มีความเห็นและข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตยดังต่อไปนี้

1. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอคัดค้านการใช้อำนาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเพื่อแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง อันมีสาเหตุมาจากวิกฤตศรัทธาต่อการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเอง การใช้อำนาจพิเศษที่เหนือกว่าอำนาจทางปกครองปกติเป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองโดยตรง มากกว่าการตั้งใจแก้ไขปัญหาสนิมที่เกิดจากเนื้อในตน อำนาจพิเศษดังกล่าวรวมถึงข้อกำหนดประกาศห้ามมิให้มีการชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไปและข้อกำหนดอื่นๆ จะนำมาสู่การใช้อำนาจละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวได้ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดมีอำนาจครอบจักรวาล ขาดการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจและไม่ต้องรับผิดทางแพ่งและอาญา เนื่องจากการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

2. รัฐบาลและหรือรัฐสภาสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งจากการชุมนุมทางการเมืองได้โดยการเปิดการเจรจาทางการเมืองและเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างกติกาประเทศร่วมกันโดยเร็ว การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงจึงเป็นเพียง “การกระชับอำนาจ” ของนายกรัฐมนตรีเท่านั้นภายหลังมีข้อเรียกร้องให้ลาออกเพื่อรับผิดชอบปัญหาความขัดแย้งที่ตนเองสร้างขึ้น นอกจากนั้นการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวยังมีขึ้นภายหลังแกนนำคณะราษฎรประกาศยุติการชุมนุมแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะออกประกาศบังคับใช้อำนาจพิเศษโดยอ้างความมั่นคงใดๆ และการสลายการชุมนุมนั้นไม่เป็นลำดับขั้นตอนตามหลักสากลที่ต้องทำตามลำดับและต้องร้องขอคำสั่งจากศาลแพ่งหรือศาลจังหวัดที่มีเขตอำนาจเหนือพื้นที่ที่มีการชุมนุมก่อนเพื่อให้มีคำสั่งให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุม และต้องติดคำสั่งศาลหรือประกาศให้ทราบก่อน

3. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอคัดค้านการใช้ทหารเข้ามาแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในและควบคุมการชุมนุมของประชาชนซึ่งเป็นสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศ ดังปรากฎมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาควบคุมและรักษาความสงบภายในรัฐสภา มีบัญชาให้กองทัพภาคที่ 1 ระดมกำลังเข้ากรุงเทพฯ และกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) เข้าควบคุมและรักษาความสงบรอบทำเนียบรัฐบาล ภารกิจดังกล่าวควรเป็นบทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้วตามกฎหมายปกติที่มีอยู่และการจัดการการชุมนุมบนถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ควรใช้ทหารเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองดังมีบทเรียนตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 

4. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอให้รัฐบาลปล่อยตัวแกนนำที่ถูกควบคุมสิทธิเสรีภาพโดยไม่สมัครใจ ภายใต้การใช้อำนาจโดยมิชอบและตั้งข้อหาความผิดตามกฎหมายมาตรา 116 เกินเลยไปจากข้อเท็จจริงโดยถือว่าผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาลเป็นภัยความมั่นคงของรัฐไปหมดทุกคน รัฐบาลควรแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองด้วยวิถีทางการเมืองและคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองในการใข้สิทธิการชุมนุมทุกครั้ง เนื่องจากหากรัฐบาลหมดความชอบธรรมแล้ว อำนาจในการใช้กฎหมายก็จะหมดความชอบธรรมไปด้วย

5. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ขอเรียกร้องให้รัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสื่อมวลชน ร่วมกันแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง โดยหยุดการโฆษณาชวนเชื่อ การยั่วยุความรุนแรงโดยสงครามข่าวสาร การเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่นำไปสู่ความเกลียดชังและปลุกระดมให้เกิดความรุนแรงทั้งจากภาครัฐและในหมู่ประชาชนด้วยกันเอง โดยกลไกรัฐที่เกี่ยวข้องต้องไม่สร้างเงื่อนไขดังกล่าว และร่วมกันปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนและติดตามการแก้ไขปัญทางการเมืองของรัฐบาลต่อไปในวิถีประชาธิปไตยและสันติ หากเกิดความรุนแรงใดๆ ขึ้นต่อไปนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะต้องรับผิดชอบอย่างถึงที่สุด

กสม. ขอรัฐบาลบังคับใช้กฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินเท่าที่จำเป็น

ด้านนางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีการชุมนุมของกลุ่มประชาชนและนักศึกษาในนามคณะราษฎร เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ณ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและบริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล ซึ่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่สังเกตสถานการณ์การชุมนุมอย่างใกล้ชิด กระทั่งรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครและเข้ายุติการชุมนุมเมื่อช่วงเช้ามืดของวันนี้ (15 ต.ค. 2563) พร้อมควบคุมตัวแกนนำการชุมนุมในเวลาต่อมานั้น

ในวันนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้มีการประชุมหารืออย่างเร่งด่วนเพื่อประเมินสถานการณ์ด้วยความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งว่าอาจจะมีแนวโน้มนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้น จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้นและยึดมั่นในหลักสันติวิธีและความรับผิดชอบต่อสังคมเหมือนที่ผ่านมา สำหรับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครนั้น กสม. เห็นว่า ประกาศดังกล่าวมีข้อกำหนดที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนมากกว่าในสถานการณ์ปกติ เพื่อความจำเป็นในการระงับเหตุที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง ทั้งนี้ ตามหลักการของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights– ICCPR) มาตรการจำกัดสิทธิดังกล่าวควรใช้ในระยะเวลาที่จำกัดตามความจำเป็นของสถานการณ์ ดังนั้น หากสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ควรยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวทันที ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ที่ระบุว่า ‘การมีสิทธิเสรีภาพเป็นหลัก การจำกัดตัดสิทธิเสรีภาพเป็นข้อยกเว้น’

สำหรับแกนนำผู้ชุมนุมที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ ขอให้เจ้าหน้าที่รัฐดูแลให้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่และโดยไม่ชักช้า พร้อมแจ้งสถานที่ควบคุมตัวให้แก่ญาติพี่น้องได้รับทราบ โดย กสม. กำลังติดตามประสานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

“กสม. เห็นว่าการใช้มาตรการทางกฎหมายเป็นหลักอาจมิใช่หนทางเดียวในการแก้ไขปัญหา ซึ่งกระบวนการในรัฐสภาควรเป็นหนทางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ รวมทั้งควรเคารพความแตกต่างทางความคิดความเชื่อ ตระหนักถึงการเคารพสิทธิมนุษยชนระหว่างกันเพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข” นางประกายรัตน์ กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net