Skip to main content
sharethis

ชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากนโยบายทวงคืนผืนป่า จ.มุกดาหาร บุกศาลากลาง ขอเข้าร่วมประชุมกับคณะทำงานฯ ร้องต้องทำการพิสูจน์สิทธิในที่ดินทำกิน 

16 ต.ค. 2563 ชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากนโยบายทวงคืนผืนป่ากว่า 100 คน ได้เดินทางมายังศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร เพื่อเข้าร่วมประชุมคณะทำงานตรวจสอบการครอบครองเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงหมู แปลงที่ 2 ท้อง ที่ต.คำป่าหลาย อ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร ครั้งที่ 1/2563 ณ ห้องประชุมแก่งกะเบา ชั้น 3 โดยการประชุมครั้งนี้ได้มีปลัดจังหวัดมุกดาหาร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร เจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดมุกดาหาร นิติกรสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดมุกดาหาร หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่า มห.1 (คำป่าหลาย) เจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรคำป่าหลาย ตัวแทนกำนันตำบลคำป่าหลาย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 13 ตัวแทนภาคประชาชน หมู่ 5, หมู่ 6, หมู่ 13 ตัวแทนขบวนการภาคประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-MOVE) และชาวบ้านผู้เดือดร้อน เข้าร่วมประชุม

โดยนายชลวิทย์ นามจันทรา ผู้อำนวยการส่วนทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร ได้กล่าวสรุปผลการดำเนินงานของคณะทำงานที่ผ่านมาว่า “ประเด็นที่หนึ่งเรื่องการดำเนินการตามมาตรา 25 ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า มห.1 (คำป่าหลาย) มาชี้แจงแนวทางปฏิบัติ ซึ่งประเด็นนี้ต้องพิจารณากันต่อไป ประเด็นที่สองพื้นที่ทับซ้อน สปก. เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว ซึ่งพบว่าเป็นพื้นที่แนวรอยต่อของ สปก. และหากทางหน่วยป้องกันรักษาป่า มห.1 (คำป่าหลาย) มีการถอยหลักเขตตรวจยึดจริงก็ต้องลงพื้นที่ตรวจสอบรายละเอียด ประเด็นที่สามเรื่องรายละเอียดของเอกสารหน่วยป้องกันรักษาป่า มห.1 (คำป่าหลาย) ก็ได้ส่งมา ซึ่งมีรายละเอียดตั้งแต่แรกจนถึงขั้นตอนการรื้อถอน ก็ต้องทำการพิจารณาต่อไป ประเด็นที่สี่เรื่องการสำรวจการถือครองที่ดินยังจะต้องพิสูจน์สิทธิการถือครองของเกษตรกรเป็นผู้ยากไร้หรือไม่ ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการสรุปว่ายังไม่ได้ดำเนินการต่อ เนื่องจากว่าเป็นพื้นที่ที่ได้ตรวจยึดทางกฎหมายไปแล้ว ซึ่งถ้าจะดำเนินการต่อไปคงจะยังไม่ได้ และชาวบ้านยังได้มีการติดตามสอบถามว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะคลายมาตรการนี้ลง และขอเข้าทำประโยชน์เนื่องจากได้รับความเดือดร้อน ไม่มีที่ทำกิน และอยากให้ทางจังหวัดได้ให้ความช่วยเหลือ”

ซึ่งนายสุรเดช อัคราช ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมุกดาหาร กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า “สำหรับประเด็นการช่วยเหลือพี่น้องทั้ง 3 หมู่บ้านที่ถูกยึดพื้นที่ทำกิน ผมได้มีการหารือกับทางจังหวัดเพื่อพิจารณาหาทางช่วยเหลือพี่น้อง ทำอย่างไรจะให้ชาวบ้านเข้าไปทำกินในที่ดินเหล่านี้ได้ ปรากฎว่ากรมป่าไม้ไปดูระเบียบการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามมาตรา 16 พบว่าสามารถขอใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งพื้นที่การจับกุมครั้งนี้ไม่ได้มีการกล่าวหาว่าได้มีผู้ใดเป็นผู้บุกรุกหรือผู้กระทำผิด ตรงนี้จึงไม่ได้เป็นข้อห้ามในการใช้ป่าสงวนตามมาตรา 16 ถ้าจังหวัดให้ความร่วมมือทำเรื่องขออนุญาตให้ทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ที่มีการตรวจยึดทั้งหมด ชาวบ้านก็มีสิทธิอยู่ได้ถึง 30 ปี และสามารถต่ออายุได้เรื่อย ๆ อีกด้วย”

ขณะที่นายอดิศักดิ์ ตุ่มอ่อน ตัวแทนขบวนการภาคประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-MOVE) กล่าวว่า “กรณีเรื่องคดีความ กฎหมาย แนวเขต หรือการพิสูจน์สิทธิ คิดว่าน่าจะมีวงคุยมากกว่านี้ เนื่องจากมีรายละเอียดมาก เช่น เรื่องคดีแนวเขตที่มีเจ้าหน้าที่กล่าวความร้องทุกข์ไปเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2559 เราเห็นรายละเอียดอยู่ว่าการกล่าวความร้องทุกข์นั้นไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ยังไง และเรื่องการตรวจยึดในพื้นที่ สปก. เราเห็นบันทึก สปก. ว่ามีการรุกล้ำจริง แสดงว่าความผิดสำเร็จแล้วในการเข้าไปรุกล้ำพื้นที่ผู้ถือสิทธิ สปก.4-01 ซึ่งในตอนนั้นผู้รับผิดชอบคืออดีตหัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ มห.1 (คำป่าหลาย) ซึ่งเป็นเรื่องของผู้ที่ถือสิทธิที่จะไปร้องกล่าวโทษอีกครั้งเมื่อเห็นข้อเท็จจริง และประเด็นเรื่องการใช้สิทธิคิดว่าขอให้ผ่านกระบวนการพิสูจน์สิทธิไปก่อน”

และนายกวินธร นิ่มพันธ์ ผู้แทนภาคประชาชน หมู่ 6 บ้านนาคำน้อย ก็ได้กล่าวว่าเพิ่มเติมว่า “มีที่ดินของชาวบ้านแปลกหนึ่งที่ปลูกมันทั้งแปลง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการไถมันทิ้งเป็นแนวยาวประมาณ 100 เมตร เพื่อที่จะปักหลักเขตตรวจยึด แต่ภายหลังที่ชาวบ้านได้มีการร้องเรียนก็ได้มีการขยับหลักที่ปักออกไป แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการตรวจยึดเข้าไปในแปลงหรือว่าเป็นการปักหลักผิด ส่วนอีกประเด็นถ้าจะพูดตามความผิดเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ได้ทำลายทรัพยสินการเกษตรของเกษตรกรรายนี้ไปแล้ว จึงเป็นประเด็นค้างคาว่าตกลงเจ้าหน้าที่ป่าไม้มีการจับพิกัดตรวจยึดเข้าไปในแปลงหรือว่าไม่ได้เข้าไปในแปลงหรือว่าปักหลักผิด”

ซึ่งนายเอกราช มณีกรรณ์ ปลัดจังหวัดมุกดาหาร ก็ได้กล่าวว่า “ประเด็นนี้ถ้าทรัพยสินเสียหายชาวบ้านสามารถแจ้งความได้เลย ถึงจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ไม่เกี่ยว ถ้าทรัพยสินของราษฎรเสียหายให้เจ้าของที่ไปแจ้งความไว้เลย”

ทั้งนี้ในที่ประชุมคณะทำงานตรวจสอบการครอบครองเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงหมู แปลงที่ 2 ท้องที่ตำบลคำป่าหลาย อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ครั้งนี้ ได้มีความเห็นตรงกันว่าเห็นควรจะต้องแต่งตั้งคณะทำงานชุดใหม่ เพื่อที่จะให้การช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net