Skip to main content
sharethis

โรม สวนไพบูลย์ ชี้อย่าอ้างประชามติมาทำลายเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบปราจาศอาวุธของประชาชน ซึ่งได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญ ย้ำหากอยากหาทางออกให้ประเทศต้องเลิกโกหกหน่าตายว่า รัฐบาลประยุทธ์ ไม่ใช่ต้นต่อของปัญหา แนะถ้าจะทำประชามติ ควรถามประชาชนว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการยกเลิกกฎหมายนิรโทษกรรม คสช. ทั้งหมด แล้วเอาผู้ก่อการทุกคนขึ้นศาล ข้อหาล้มล้างการปกครองและฉีกรัฐธรรมนูญ

2 พ.ย. 2563 สืบเนื่องจากกรณีที่ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ เสนอให้ นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 ทำประชามติ ถามความเห็นประชาชนเป็นคำถามพ่วงในการออกเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นว่า

“ท่านเห็นอย่างไร หากรัฐบาลใช้มาตรการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาด ห้ามไม่ให้มีการจัดชุมนุมทางการเมืองที่ฝ่าฝืนกฎหมายชุมนุมสาธารณะ มีการกระทำก้าวล่วงรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 อันเป็นเหตุให้กระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และมีผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ที่มีผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะจากความขัดแย้งของคนในชาติ และให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน สามารถดำเนินการได้ลุล่วง รัฐบาลจึงจะใช้มาตรการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาด ห้ามชุมนุมการเมืองดังกล่าวเป็นระยะเวลา 2 ปี นับจากวันออกเสียงประชามติ”

ต่อกรณีดังกล่าว รังสิมันต์ โรม ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้แสดงความเห็นผ่านเฟสบุ๊กแฟนเพจ Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม โดยระบุว่า สิ่งที่ไพบูลย์นำเสนอ คือ การนำกระบวนการทำประชามติซึ่งเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตย มาทำลายเสรีภาพในการชุมนุมซึ่งเป็นประชาธิปไตยทางตรง เพราะตามหลักการแล้ว ประชามติจะเอามาจำกัดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของประชาชนไม่ได้ ในที่นี้ก็คือ เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 44

รังสิมันต์ ระบุอีกว่า หลักของประชาธิปไตยคือ เคารพเสียงข้างมาก แต่ก็ต้องประกันสิทธิเสรีภาพของทุกคน ไม่ใช่เอากลไกในการแสวงหาเสียงข้างมากมาทำลายหรือยกเว้นสิทธิเสรีภาพ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการใช้ประชามติมายกเว้นสิทธิในชีวิต อนุญาตให้ฆ่ากันได้ ยกเว้นเสรีภาพในการประกอบอาชีพ ฯลฯ ได้ ซึ่งนั่นมันไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแน่นอน

“คนอย่างคุณไพบูลย์ ตอนฝ่ายตรงข้ามมีอำนาจเป็นรัฐบาล ก็หาว่าเขาเป็นเผด็จการเสียงข้างมาก แต่พอฝ่ายตัวเองมีอำนาจบ้าง ก็ทำไม่ต่างจากที่กล่าวหาคนอื่น ซ้ำร้ายอาจย่ำแย่ได้ยิ่งกว่ามาก และการนำเสนอเช่นนี้ นอกจากจะขัดรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ยังสะท้อนให้เห็นความไม่เอาไหนและใช้งานไม่ได้ของข้อเสนอเช่นนี้ เพราะต้นเหตุที่อ้างมาว่า การชุมนุมทำให้ซ้ำเติม กระทบทางเศรษฐกิจและปัญหาโควิด-19 ข้ออ้างเหล่านั้นไม่สมเหตุสมผลเลย”

รังสิมันต์ ย้ำว่า ที่ผ่านมาพี่น้องประชาชนยอมเสียสละเอาปากท้องของตัวเองร่วมมือกับรัฐบาลในการสู้สถานการณ์เหล่านี้มาตลอด แต่ที่ผ่านมารัฐบาลอาศัยสถานการณ์ความยากแค้นของประชาชน ไม่กระจายโอกาสในการเข้าถึงรายได้อย่างเท่าเทียม แต่กลับขยายความเหลื่อมล้ำ เอื้อนายทุนผูกขาด ทำงบประมาณปี 64 อย่างไม่สนใจประชาชน มุ่งเน้นการเกี่ยวข้องกันทางผลประโยชน์ทับซ้อน การกล่าวโทษปัญหามาที่การชุมนุม ทั้งที่เขากำลังบอกว่าประชาชนเขาเดือดร้อนอย่างไร ก็คือการกำลังเหยียบหัวประชาชนซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนท่านดึงเงินออกจากมือของพวกเขา แล้วตบหัวซ้ำพร้อมยัดข้อหาขโมยให้ ทั้งที่พวกท่านก็คือขโมย ที่ขโมยโอกาสของประชาชนมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งจนถึงในวันนี้

“เลิกอ้างมั่ว ๆ แบบนี้เสียทีเถอะครับ เพื่อความเจริญของบ้านเมือง เลิกโกหกหน้าตายได้เสียทีว่าพลเอกประยุทธ์และรัฐบาล พังประชารัฐ ไม่ใช่หนึ่งในต้นตอของปัญหา อันที่จริง ผมเองก็มีข้อเสนอที่ทำได้ในทางกฎหมายผ่านการประชามติเช่นกันครับ เช่นการขอมติประชาชน ยกเลิกกฎหมายนิรโทษกรรม คสช. ทั้งหมด แล้วเอาผู้ก่อการทุกคนขึ้นศาล ข้อหาล้มล้างการปกครองและฉีกรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนตัดสินว่ารัฐประหารครั้งนั้นเป็นอย่างไรในทางกฎหมายและมติประชาชน คุณไพบูลย์ เอาด้วยไหมครับ”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net