เครือข่ายทนายสิทธิร้องเรียน ตร.ละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนต่อนักกิจกรรม

เครือข่ายทนายความด้านสิทธิมนุษยชนยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าการปฏิบัติของตำรวจที่ทั้งละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนต่อนักกิจกรรมทางการเมืองที่ออกมาชุมนุมโดยสงบทั้งการจับกุมและการดำเนินคดี ซึ่งทนายความได้พบเจอตลอดการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่บุคคลเหล่านี้

3 พ.ย.2563 iLaw รายงานว่า สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน และเครือข่ายองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ทำหนังสือขอเข้าพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนและยื่นหนังสือนำเสนอประเด็นการละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนในการดำเนินคดีต่อเยาวชนและนักกิจกรรมประชาธิปไตย

คอรีเยาะ มานุแช นายกสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมดำเนินคดีต่อคนจำนวนมาก ไม่ใช่เพียงแกนนำในการชุมนุม แต่รวมทั้งคนทำหน้าที่เก็บเต๊นท์ เครื่องเสียง และคนที่ทำหน้าที่พยาบาลในที่ชุมนุม เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเป็นการจับกุมดำเนินคดีที่ขัดต่อหลักนิติรัฐ

นอกจากการจับกุมแล้วยังมีการตั้งข้อกล่าวหารุนแรงเกินความเป็นจริง รวมทั้งมาตรา 110 และมาตรา 116 และเจ้าหน้าที่ยังคัดค้านการประกันตัวโดยไม่จำเป็น ยังปรากฏว่า มีการอายัดตัวซ้ำเมื่อปล่อยตัวออกจากเรือนจำ ทั้งที่หมายจับสิ้นอายุไปแล้ว การเอาตัวผู้ต้องหาไปไว้ในที่ห่างไกล ที่ ตชด.ภาค1 กระทบต่อผู้ต้องหาและการทำงานของทนายความ เมื่อทนายความไปเยี่ยมต้องได้รับการอนุมัติก่อนทุกครั้ง และถูกยึดมือถือ ส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่และการติดต่อประสานงาน

คอรีเยาะกล่าวด้วยว่า เรามาเพื่อเรียกร้องให้ตำรวจเคารพหลักสิทธิมนุษยชน และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนใช้สิทธิเสรีภาพได้ตามสมควรตามที่ได้รับรองไว้ การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจเพื่อเคารพสิทธิจะช่วยลดอุณหภูมิอันร้อนแรงในปัจจุบันได้

เบื้องต้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ผู้รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี กำกับดูแลสำนักงานกฎหมายและคดี, ภ.1-9 (เฉพาะ บก.กค.) มาเป็นผู้รับหนังสือแทน แต่เมื่อไปถึงจากการประสานงานยังไม่มีใครทราบเรื่อง จึงเป็นพ.ต.อ.ดนุ กล่ำสุ่ม ผู้บังคับการกองกฎหมาย สตช.เป็นตัวแทนมาพบกับผู้ที่มายื่นหนังสือ

การละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนในการดำเนินคดีต่อเยาวชนและนักกิจกรรมประชาธิปไตย

 

สนส. 34/2563

วันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เรื่อง      การละเมิดกฎหมายและสิทธิมนุษยชนในการดำเนินคดีนักเรียนนิสิตนักศึกษาและนักกิจกรรมประชาธิปไตย

เรียน       ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สืบเนื่องจากการที่มีนักเรียน นิสิตนักศึกษา ประชาชน และนักกิจกรรมประชาธิปไตย (“นักกิจกรรม”)  ได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ชุมนุม วิพากษ์วิจารณ์ เรียกร้องให้รัฐบาลลาออกและเสนอให้มีการปฏิรูปสถาบันต่างๆ ทางการเมือง นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นมา และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้กล่าวหาและจับกุมคุมขังดำเนินคดีบุคคลดังกล่าวนับร้อยคน ในข้อหาต่างๆ รวมทั้งข้อหาฝ่าฝืนประกาศตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นั้น เครือข่ายองค์กรและทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ดังมีรายนามข้างท้ายนี้ มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง จึงใคร่ขอเสนอความคิดเห็นต่อบทบาทของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการปฏิบัติต่อนักกิจกรรมประชาธิปไตยดังกล่าวดังต่อไปนี้

  1. นักกิจกรรมมีและใช้สิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะสิทธิในความเชื่อและความคิดเห็นทางการเมือง การแสดงออก และการชุมนุมสาธารณะ บนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชนที่รับรองไว้ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสิทธิเสรีภาพที่ได้รับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญ และได้พยายามป้องกันและหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความรุนแรงตลอดมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในฐานะกลไกของรัฐ ซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ควรปฏิบัติหน้าที่เพื่อการดังกล่าว แต่กลับปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้มาตรการกล่าวหา ดำเนินคดีต่อนักกิจกรรมในข้อหาต่างๆ ในลักษณะที่มุ่งที่จะขัดขวางไม่ให้นักกิจกรรมใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าวจนถูกมองได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลเพื่อกลั่นแกล้งนักกิจกรรมที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม
  2. เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคน บางท้องที่หรือบางหน่วยงาน ได้กล่าวหาและดำเนินคดีนักกิจกรรมโดยมุ่งที่จะขัดขวางมิให้นักกิจกรรมที่ตกเป็นผู้ต้องหาสามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมสาธารณะมากกว่าที่จะดำเนินคดีตามปกติด้วยความเป็นธรรม เช่น
  • ตั้งข้อหาที่ร้ายแรง มีโทษสูงเกินกว่าพฤติกรรมที่อ้างว่ากระทำผิด เพื่อขอหมายจับจากศาล ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่สามารถออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวหาได้ คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว โดยอ้างว่าผู้ต้องหาจะไปร่วมชุมนุมอีกทั้งๆ ที่การชุมนุมเป็นสิทธิอันชอบที่กระทำได้และศาลยังไม่เคยมีคำพิพากษาว่าการชุมนุมที่กล่าวหานั้นละเมิดต่อกฎหมาย แม้ศาลจะไม่อนุญาตให้ฝากขังหรือมีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราวเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อายัดตัวไว้ดำเนินเนินคดีต่อๆ ไป ในลักษณะของการอายัดตัวซ้ำซาก รวมทั้งสร้างอุปสรรคและความยากลำบากให้แก่ผู้ต้องหา
  • จับกุมและควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 (บก.ตชด.ภาค 1) ปทุมธานี ซึ่งมิใช่ที่ทำการปกติของพนักงานสอบสวน ก่ออุปสรรคและความยกลำบากต่อญาติในการเยี่ยมผู้ต้องหาและการพบและปรึกษาทนายความ อาทิเช่น การให้ทนายความพบผู้ต้องหาหรือไม่เป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ ทั้งๆ ที่เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของผู้ต้องหาและเป็นหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่จะต้องอำนวยความสะดวกจำกัดให้ทนายความ 1 คน ต่อผู้ต้องหา 1 คนเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ทนายความผู้ช่วยหรือผู้ช่วยทนายความร่วมในการพบและให้คำปรึกษาแก่ผู้ต้องหา ซึ่งถือเป็นการจำกัดการปฏิบัติหน้าที่ของทนายความ อีกทั้งทนายความไม่สามารถนำเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น โทรศัพท์มือถือเข้าไปได้ ทำให้ทนายความไม่สามารถติดต่อบุคคลอื่นหรือรับหรือค้นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้ง การจำกัดระยะเวลาในการพบทนายความและการเยี่ยมโดยญาติหรือบุคคลที่ผู้ต้องหาไว้วางใจโดยไม่สมควร
  • การปฏิบัติต่อนักกิจกรรมที่เป็นผู้ต้องหา เนื่องจากดำเนินกิจกรรมเสมือนเป็นอาชญากรในคดีร้ายแรง ทั้งๆที่นักกิจกรรมเหล่านั้นตกเป็นผู้ต้องหา เนื่องจากกระทำกิจกรรมในทางการเมือง ไม่ได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่และไม่มีพฤติกรรมที่จะหลบหนี แม้ว่าในบางกรณีเจ้าหน้าที่ได้ใช้กำลังกระทำให้ผู้ต้องหาบางคนจนได้รับบาดเจ็บ
  • บังคับใช้กฎหมายอย่างเลือกปฏิบัติ ในลักษณะสองมาตรฐาน โดยบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ต่อนักกิจกรรมอย่างเข้มงวดและเกินเลย แต่สำหรับฝ่ายตรงข้ามที่ต่อต้านนักกิจกรรมโดยวิธีการที่ผิดกฎหมาย เช่น การชุมนุมและการทำร้ายร่างกาย เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับละเลยไม่ดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดดังกล่าว
  1. เจ้าหน้าที่ตำรวจมีภารกิจในการรักษาความสงบสุขของสังคม แต่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคน บางท้องที่และบางหน่วยงาน ดังกล่าวในข้อ 2 ทำให้นักกิจกรรมและประชาชนเห็นว่า เจ้าหน้าที่มีสองมาตรฐาน เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลมากกว่าเป็นกลไกของกฎหมายและความยุติธรรม ซึ่งนอกจากจะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งขยายตัวมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นใน สตช. และกระบวนการยุติธรรม อันจะก่อให้เกิดอันตรายต่อหลักนิติรัฐอย่างยิ่ง

ด้วยเหตุที่เรียนมาข้างต้น จึงเรียนมาเพื่อเรียกร้องให้ท่าน ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของ สตช. ได้พิจารณา ทบทวน และดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำต่อนักกิจกรรมทางการเมือง ให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย นิติรัฐและนิติธรรมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งจะเป็นหนทางที่สำคัญประการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ต่อไป

นางสาวคอรีเยาะ มานุแช
นายกสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส)

รายชื่อองค์กรและเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.)
ศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน
สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
สมาคมนักกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสิ่งแวดล้อม
มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม
มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท