Skip to main content
sharethis

เมื่อพระรูปหนึ่งตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ต่อ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 กับพระราชอำนาจที่เพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาคือการถูกล่าแม่มด ถูกส่งหมายเรียกโดยระบุบนหน้าซองจดหมายว่า ‘คดี 112’ แต่ในเอกสารถูกฟ้องด้วย พ.ร.บ.คอมฯ และการทวงถามถึงสิทธิของพระต่อการเมือง

30 ก.ค. 2563 พระปัญญา สีสัน ภิกษุผู้ศรัทธาพุทธพจน์ สมาชิกคณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนาใหม่ (New Restoration) ได้รับจดหมายส่งถึงตนที่วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหารในพระบรมราชูปถัมภ์ จังหวัดชลบุรี นอกจากการจ่าหน้าซองตามปกติแล้ว ยังมีระบุด้วยว่า ‘คดี 112’ ภายในซองจดหมายเป็นหมายเรียกผู้ต้องหาคือตัวพระปัญญา โดยมี พ.ต.ท.แทน ไชยแสง เป็นผู้กล่าวหา

ข้อกล่าวหาที่ปรากฏในเอกสารระบุว่า ‘นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ อันน่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ’

ในเอกสารบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ระบุว่า เป็นการฟ้องร้องสืบเนื่องจากการโพสต์ข้อความลงในเฟสบุ๊คของพระปัญญา 6 โพสต์ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2562 2 โพสต์ วันที่ 17 ตุลาคม 2562 2 โพสต์ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 และวันที่ 11 ธันวาคม 2562 มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนีหรือเจ้าคุณธงชัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวันไตรมิตรวิทยารามเป็นกรรมการเถระสมาคม โดยกษัตริย์วชิราลงกรณ์ การใช้เงินซื้ออาวุธของกองทัพ การถือหุ้นในบริษัทปูนซิเมนต์ไทยของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ เอกสารหมายเรียกระบุว่า ทั้ง 6 โพสต์เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ก่อให้เกิดความเสียหายและให้ร้ายต่อพระมหากษัตริย์

หากศาลพิพากษาว่าทั้ง 6 โพสต์ผิดจริง พระปัญญาจะถูกลงโทษจำคุกโพสต์ละ 5 ปี รวมระยะเวลา 30 ปี

ทว่า ก่อนหน้านี้ พระปัญญาเคยถูกคุกคามหรือล่าแม่มดมาแล้วจนต้องหลบไปอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ 5 เดือน อาจกล่าวได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากการตั้งคำถามต่อ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505

ภาพกลุ่มพระที่ร่วมชุมนุมกับเยาวชนเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา (ที่มาภาพ เพจ เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH)

ตั้งคำถามต่อ พ.ร.บ.คณะสงฆ์

“อาตมาบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนาก็ศึกษาพระไตรปิฎก พระพุทธพจน์มาพักใหญ่ๆ จนเกิดความมั่นใจว่าคำสอนในศาสนาพุทธน่าจะเป็นแบบนี้ เพราะเกิดความเชื่อความศรัทธาตรงนี้ก็เริ่มหันมาดูรอบตัวในวัด ทำไมในวัดเจ้าอาวาสมีอำนาจอยู่เพียงผู้เดียว ทั้งที่หลายเรื่องไม่เมคเซ้น ทำไมพระไม่โต้แย้ง ไม่ชี้แจง ไม่ถาม ทำไมปล่อยให้เจ้าอาวาสบริหารวัดแบบไม่มีเหตุผล ทำไมทุกคนยอมกันหมด เพราะมันขัดกับพุทธพจน์ที่อาตมาศึกษามาจากพระไตรปิฎก”

พระปัญญากล่าวว่า ในพระไตรปิฎกการตัดสินใจใดๆ ต้องใช้เสียงข้างมากของคณะสงฆ์ มิใช่อำนาจของเจ้าอาวาส     แต่ด้วย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มอบอำนาจให้แก่เจ้าอาวาสมีสิทธิ์ขาดภายในวัด ทำให้เกิดสภาพดังกล่าวขึ้น ซึ่งขัดกับพระวินัย

พระปัญญาจึงทำการศึกษา พ.ร.บ.คณะสงฆ์ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมือง ศาสนาพุทธ และการปกครองในศาสนาพุทธ พบว่า รัฐธรรมนูญห้ามพระไม่ให้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งพระปัญญาเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน เนื่องจากพระควรมีสิทธิ์มีเสียงต่อกฎหมายใดๆ ที่มีผลต่อพระได้

หนีการล่าแม่มด

โดยตั้งแต่ต้นปี 2561 พระปัญญาทำกิจกรรมการเมืองอยู่ 3 อย่างคือ การอภิปรายเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ว่าขัดกับพระธรรมวินัยอย่างไร ขัดกับรัฐธรรมนูญอย่างไร และขัดกับหลักการสิทธิมนุษยชนอย่างไร ประการที่ 2  วิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่พระปัญญาเห็นว่าลิดรอนสิทธิมนุษยชนและทำให้ประเทศไทยเหมือนจะเป็นรัฐศาสนา แต่ไม่พูดตรงๆ และประการสุดท้าย พระปัญญาเข้าร่วมกิจกรรมกับพรรคอนาคตใหม่อย่างไม่ปิดบังและแสดงออกในเฟสบุ๊ค โดยถือว่าตนเป็นผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ผู้หนึ่ง

“จนกระทั่งมีการเลือกตั้งปี 62 ยาวไปจนถึงวันที่ 11 ธันวาคม ที่ กกต. จะส่งเรื่องธนาธรไปที่ศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 13 ธันวาคม ธนาธรก็เชิญชวนคนมาชุมนุมกันที่สกายวอล์ค ทีนี้เพจฝ่ายขวาจัดก็เริ่มเคลื่อนไหวปรากฏให้เห็นชัดเจนในวันที่ 12 ธันวาคมว่าจะเอาอะไรมาปลุกระดมมวลชนของตัวเองดี อาตมาก็เป็น 1 ชิ้นงานที่เขาหยิบขึ้นมาปลุกระดมมวลชนของเขาว่ามีพระที่ฝักใฝ่การเมือง วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ พวกเราจะต้องจัดการมันให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ให้เป็นตัวอย่างกับพระรูปอื่นๆ

“ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคมเป็นต้นมารูปภาพของอาตมาก็ปรากฏตามเพจต่างๆ ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก็มีคนเข้าไปด่า ส่งอินบ็อกซ์เข้าไปในเพจวัดญาณฯ มีคนที่มีสายสัมพันธ์กับมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ร้องอาตมาเข้าไปที่สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช มีการขู่ทำร้ายร่างกาย ทำไมมันอยู่พระอารามหลวงแล้ววิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์”

เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้พระปัญญาต้องหลบการล่าแม่มดทั้งในโลกออนไลน์และโลกจริงไปอยู่ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีคนไปหาพระปัญญาที่วัดจริง

ภาพกลุ่มพระที่ร่วมชุมนุมกับเยาวชนเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา

พ.ร.บ.สงฆ์ให้อำนาจเด็ดขาดแก่เจ้าอาวาส

หลังจากอยู่ที่ฟิลิปปินส์เป็นเวลา 5 เดือน พระลูกวัดคนหนึ่งก็ส่งข่าวถึงพระปัญญาว่า เจ้าอาวาสพูดในโบสถ์ว่าภิกษุรูปใดก็ตามไม่อยู่วัดเกิน 6 เดือนจะคัดชื่อออกจากวัด

“อันนี้เป็นความประสงค์ของเจ้าอาวาสไม่มีเขียนในกฎหมาย ไม่มีแนวทางปฏิบัติอะไรว่าเจ้าอาวาสจะต้องทำอย่างนั้น แต่ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา 38 เขียนไว้ว่าภิกษุรูปใดไม่เชื่อฟังโอวาทของเจ้าอาวาสให้เจ้าอาวาสขับไล่ภิกษุรูปนั้นออกจากวัดได้ เขียนเปิดช่องกว้างๆ ไว้อย่างนี้ ซึ่งถ้อยคำนี้เป็นถ้อยคำที่มีความหมายเดียวกันกับที่เขียนไว้ในสมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้น มันเป็นกฎหมายที่โบราณมากและกฎหมายข้อนี้ขัดกับพระธรรมวินัย เพราะอำนาจในการขับภิกษุออกจากวัดเป็นอำนาจของคณะสงฆ์ในวัดไม่ใช่อำนาจของเจ้าอาวาส แต่พอกฎหมายเขียนไว้อย่างนี้ มันก็ทำให้พระทุกรูปต้องปิดปากเงียบไปหมด ไม่ว่าจะเจออะไรที่ไม่ถูก ไม่ต้อง เจ้าอาวาสสอนผิดก็เงียบ”

ผลของการการถูกคัดชื่อออกจากวัดจะเข้ามาตรา 27 ใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่ว่า ภิกษุรูปใดไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่สังกัดวัด ต้องพ้นจากการเป็นภิกษุ ต้องลาสิกขาภายใน 3 วัน พระปัญญาจึงตัดสินใจเดินทางกลับ

“อาตมากลับเข้าวัดประมาณต้นเดือนมิถุนายน วันแรกที่ไปถึงวัดก็ไปรายงานตัวกับเจ้าอาวาส เขาก็บอกว่าถ้าจะอยู่ที่นี่ต้องยุติกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมด สอง-คุณจะไม่กลัวไม่ได้นะ ต่อให้คุณไม่กลัวที่จะถูกคุกคาม คุณก็ทำไม่ได้ แต่เราจะไม่ยอมให้คุณอยู่ที่นี่เด็ดขาด ถ้าคุณยังทำกิจกรรมทางการเมือง เจ้าอาวาสพูดด้วยว่ามีคนที่เขาจะมาจัดการคุณอยู่ แต่ผมขอเอาไว้ เพราะผมจะจัดการเอง ถ้าผมจัดการไม่ได้ก็แล้วแต่มันจะเป็นไป”

พระปัญญาจึงลดการโพสต์เรื่องการเมืองลงหรือถ้าโพสต์เรื่องการเมืองก็จะไม่เปิดสถานะเป็นสาธารณะ

คดี 112 และ พ.ร.บ.คอมฯ เครื่องมือปิดปาก?

“ทีนี้อยู่ๆ ก็มีหมายเรียกมาให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา ได้รับหมายทางจดหมายวันที่ 30 กรกฎาคม การออกหมายครั้งนี้อยู่ๆ ก็ออกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งที่ตัวอาตมาก็ไม่ได้พูดเรื่องการเมืองไปแล้วหลังกลับมาเมืองไทย แล้วมันก็สอดคล้องกับการชุมนุมทางการเมืองครั้งแรกระลอกใหม่หลังวิกฤตโควิดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่จัดโดยเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม หมายถูกพิมพ์วันที่ 23 กรกฎาคม ซึ่งการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก อาตมาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลย แต่จังหวะของหมายเรียกมันสอดคล้องกับการชุมนุมระลอกใหม่ของนักศึกษา    หมายเรียกครั้งแรกที่ส่งมาจ่าหน้ามาเลยว่าคดี 112 ทุกคนที่เห็นกระดาษใบนี้ก็อ่านได้หมด ดังนั้น พระที่จับจดหมายฉบับนี้เขาเห็นกันหมดว่าตำรวจแจ้งข้อหา 112 กับอาตมา”

แม้ว่าข้อกล่าวหาจะไม่ใช่ 112 ก็ตาม

“เพราะตำรวจเขาอ้างว่า ร.10 ทรงพระเมตตาไม่ให้ใช้ 112 คำพูดของพนักงานสอบสวนสอดคล้องกับคำพูดของประยุทธ์ จันทร์โอชาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ตัวอาตมาไปรับทราบข้อกล่าวหา ทั้ง 6 โพสเป็นโพสที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ทุกโพสต์ แต่ตำรวจก็ไม่ได้แจ้ง 112 แจ้ง พ.ร.บ.คอมฯ แทน ซึ่งการทำงานของตำรวจมันสอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของประยุทธ์ สอดคล้องกับการดำเนินคดีของนิรนาม ของกาณฑ์ พงษ์ประภาพันธ์ (นักเคลื่อนไหวทางการเมือง) ว่าจะไม่ใช้ 112 แต่จะใช้กฎหมายตัวอื่นแทน ซึ่งก็คือ พ.ร.บ.คอมฯ แต่จริงๆ มันก็คือ 112 เพราะเขาตั้งต้นมาแล้วที่จ่าหน้าซอง แล้วก็เป็นการขู่ด้วย หมายถึงว่าประจานด้วย ให้สาธารณชนรับทราบ ทำให้คุณอับอาย ทำให้คุณถูกกดดันจากสังคม

“หลังจากนั้นก็มีพระมาพูดอยู่เรื่อยๆ ว่าเขาจะเอาไปเข้าคุกแล้ว เหมือนแซวๆ อย่าทำให้พี่ที่อยู่ด้วยเขาเดือดร้อนนะ คือกุฏิที่อยู่จะมี 2 ชั้นอาตมาอยู่ชั้นบน พระอีกรูปอยู่ชั้นล่าง แล้วอยู่ตรงนี้ถูกอุ้มง่ายมากเลย ทำไมยังอยู่อีกล่ะ ยังไม่ติดคุกอีกเหรอ แบบแซวแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แต่การพูดอย่างเป็นทางการจากเจ้าอาวาสไม่มี”

กระทั่งวันที่ 19 กันยายน 2563 ที่มีการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ พระปัญญาและพระอีก 5 รูปได้ขึ้นเวทีสาธยายพระสูตรร่วมกัน รุ่งขึ้นวันที่ 20 เจ้าอาวาสก็กล่าวกลางพระอุโบสถว่า พระปัญญาขัดคําสั่งผู้บังคับบัญชาจะให้ดำเนินการอย่างไร

ภาพ ครูใหญ่ อรรถพล บัวพัฒน์ อธิบายความหมายของ "ธงแครอทธรรมจักร" ซึ่งเป็นธงของกลุ่มพระที่ร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มเยาวชน ครูใหญ่ อรรถพล อธิบายว่า ชู 3 นิ้ว หมายถึง ไตรลักษณ์ ไตรสิกขา และ ไตรสรณคมน์ นิ้วกดลงไว้ 2 นิ้ว หมายถึง หิริ และ โอตตัปปะ แครอท 8 หัว หมายถึง โลกธรรม 8 ประการ หมุดดุม 37 หมุด หมายถึง โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ได้แก่ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 และมรรค 8 ส่วน คมกงจักร 24 คม หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท สายเกิด 12 สายดับ 12 เหล่าบรรดาแครอทเป็นกงล้อค้ำยันและขับเคลื่อนพระพุทธศาสนา

สิทธิ์และเสียงของพระในการเมือง

คำพูดที่ว่า พระไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง สำหรับพระปัญญาเป็นเพียงมายาคติหนึ่งที่กฎหมายสร้างขึ้น ทั้งที่พระควรมีสิทธิ์มีเสียงทางการเมือง พลเมืองของประเทศอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่ว่าพลเมืองนั้นจะมีความเชื่อทางศาสนาใด ก็ไม่ควรถูกกีดกันออกจากกระบวนการออกกฎหมายเพราะถือศาสนาแตกต่างจากพลเมืองคนอื่น

“ทำไมอาตมาถึงโพสต์ คือคุณประยุทธ์แก้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ปี 60 และปี 61 อำนาจกษัตริย์มีมากขึ้นกว่าเดิมเท่าๆ กับรัชกาลที่ 5 เลย เพียงแต่เรียงมาตราใหม่เท่านั้นเอง แต่เป็นอำนาจเดียวกัน ร.5 มีอำนาจอย่างไรในสงฆ์ ร.10 ก็มีอำนาจเช่นนั้นผ่านการแก้กฎหมายของ สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) อาตมาจึงคิดว่าอาตมาควรพูดถึงได้บ้างถึงพระราชอำนาจที่พระองค์ทรงใช้ในกิจการคณะสงฆ์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าคุณธงชัยอยู่ๆ ก็ถูกยกขึ้นเป็นสมเด็จ ถูกเลื่อนชั้น ถูกถวายสมณศักดิ์ ทั้งที่เจ้าคุณธงชัยมีความอาวุโสน้อยกว่าพระพรหมอีกหลายๆ รูป ดังนั้น มันก็ควรเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่พระจะพูดถึงได้ไม่ใช่หรือ เพราะพระทั้ง 3 แสนรูปก็เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มันจึงเป็นสามัญสำนึกทั่วไปเท่านั้นเองที่เราเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และถ้าเรารู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ชอบมาพากลเราก็ควรจะพูดได้ไม่ใช่หรือในสังคมประชาธิปไตยทั่วๆ ไป”

ประเด็นนี้คือมูลเหตุที่พระปัญญาโพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับคณะสงฆ์ที่มีความสัมพันธ์กับอำนาจของพระมหากษัตริย์ จนนำมาสู่การถูกฟ้องร้อง

บันทึกข้อกล่าวหาพระปัญญา : 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net