Skip to main content
sharethis
  • เครือข่ายรามคำแหงชี้ถ้ารัฐประหารดีจริงประเทศไทยคงพัฒนาไปไกลกว่านี้
  • รุ้ง ย้ำปิดถนนวันนี้ ซ้อมรับมือกับการรัฐประหาร อานนท์ สู้ด้วยสามัญสำนึก
  • ไผ่ ชําแหละปัญหารัฐประหาร ระบุพรุ่งนี้จะแจ้งการชุมนุมในวันต่อไป ก่อนประกาศยุติชุมนุมวันนี้
  • นิสิตสถาปัตย์ชี้ รัฐที่แข็งตัวไม่เอื้อให้ประเทศพัฒนา
  • ตำรวจวอนแจ้งการชุมนุมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดูแลไม่ให้กระทบสิทธิผู้อื่น

27 พ.ย. 2563 คณะราษฎรนัดชุมนุมซ้อมต้านรัฐประหารที่ห้าแยกลาดพร้าว ตั้งแต่ 16.00 น. หลังมีข่าวลือการประกาศกฎอัยการศึก และความกังวลว่าอาจมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้ง ตร. แถลงเตรียมกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนและกองร้อยน้ำหวานรักษาความสงบเรียบร้อย วอนผู้จัดแจ้งการชุมนุมตามกฎหมาย เพื่อดูแลการชุมนุมไม่ให้กระทบสิทธิผู้อื่น

15.35 น. ผู้ชุมนุมเริ่มปิดการจราจร ถ.พหลโยธิน ฝั่งห้างยูเนี่ยนมอลล์ ใกล้ห้าแยกลาดพร้าว ก่อนจะค่อยๆ ขยายพื้นที่วางสิ่งกีดขวางจนปิดการจราจร ถ.พหลโยธิน บริเวณห้าแยกลาดพร้าวทั้งสองฝั่งได้เมื่อ ประมาณ 15.45 น.

16.00 น. ผู้ชุมนุมทยอยเดินทางมาร่วมกิจกรรม บางส่วนเปิดเพลง 'รักคนเสื้อแดง' และเต้นที่หน้าห้างเซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว 

ประมาณ 17.00 น. ผู้ชุมนุมช่วยกันสูบลมให้ยูนิคอร์น เป็ด ​และเอเลียน เพื่อรับของที่ระลึกเป็นถุงลายหมุดคณะราษฎร

18.15 น. กองทัพเป็ดเคลื่อนขบวนจากบริเวณใต้ BTS ห้าแยกลาดพร้าว ถ.พหลโยธิน ไปยังเวทีปราศรัยบริเวณห้าแยกลาดพร้าว โดยกองทัพมีเป็ดยาง, เอเลี่ยน, นกยูง, ม้ายูนิคอน, และพิซซ่า โดนขบวนเหล่านี้เคลื่อนมาถึงหน้าเวที โดยพิธีกรเวทีปราศรัยอธิบายว่าเปรียบเสมือทหารและรถถังเข้ามาทำรัฐประหารแบบไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว

18.25 น. ที่ห้าแยกลาดพร้าว ผู้ชุมนุมใช้ขบวนเป็ดเป็นตัวแทนคณะรัฐประหารสำหรับซ้อมหากมีการรัฐประหาร โดยซักซ้อมชู 3 นิ้ว ต่อและโห่ใส่กองทัพเป็ดดังกล่าว “กองทัพเป็ดเหล่านี้ไม่ต่างจากทหารที่ได้ใช้รถถังเข้ามายึดอำนาจจากประชาชน” พิธีกรกล่าว

เวลา 18.30 น. ผู้ชุมนุมให้สัญญากันว่าจะต่อต้านการกระทำรัฐประหารไม่ว่าโดยฝ่ายใดในทุกรูปแบบ และสัญญาว่า จะไม่ยินยอมให้ฉีกรัฐธรรมนูญโดยเผด็จการอีกต่อไป และตลอดไปจนกว่าจะสิ้นแแผ่นดินไทย ก่อนจะเป็นการแสดงดนตรีและปราศรัยจนถึงประมาณ 22.45 น. จึงประกาศยุติการชุมนุม

ถ้ารัฐประหารดีจริงประเทศไทยคงพัฒนาไปไกลกว่านี้

ประมาณ 20.30 น. นันทพงศ์ ปานมาศ เครือข่ายรามคำแหง ปราศรัยว่า เรามาตรงนี้เพราะไม่ต้องการรัฐประหาร ถ้าดีจริง ป่านนี้ประเทศไทยคงพัฒนาไปไกลกว่านี้ ถ้ารัฐประหารดีจริงเราจะไม่เสียลุงนวมทองไป

ตัวแทนเครือข่ายรามคำแหง กล่าวว่า ไทยต้องไม่เกิดการรัฐประหารอีกและต้องไม่มีคนเซ็นรับรองรัฐประหารอีก เราจะไม่ยอมลดเพดานข้อเรียกร้องสามข้อเด็ดขาด รัฐบาลประยุทธ์ต้องออกไป และต้องการ รธน จากประชาชนเท่านั้น และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญเดียวกับประชาชน

นันทพงศ์กล่าวต่อว่า ตนไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนคนฆ่าตัวตายเพราะเศรษฐกิจเท่ายุครัฐบาลประยุทธ์ แล้วก็ยังจับคนเห็นต่างเข้าคุก ตนเข้าคุกไปสองครั้งเพราะออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย สองครั้งแล้ว ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยก็เป็นนักศึกษา แล้วรัฐบาลประยุทธ์ก็ใช้ความรุนแรงในการปราบปราม

ตัวแทนเครือข่ายรามคำแหง กล่าวต่อว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้ารัฐธรรมนูญดีจริงจะไม่มี ส.ส. อย่างไพบูลย์ นิติตะวัน ไพบูลย์มาจากพรรคพระพุทธเจ้า มีกฎหมายข้อไหนที่ให้ยุบพรรคตัวเองแล้วมาเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ และถ้ารัฐธรรมนูญดีจริงจะไม่มี ส.ส. อย่าง 'เต้ พระราม 7' และงูเห่าอย่างศรีนวล

นันทพงศ์ย้ำว่า ถ้ารัฐธรรมนูญนี้เป็นประชาธิปไตย คนไทยจะไม่ต้องโอนเงินเข้าบัญชีบินฑ์ บรรลือฤทธิ์ และการช่วยเหลือประชาชนจะเป็นหน้าที่ของรัฐ นี่คือความอัปยศของรัฐธรรมนูญฉบับนี้  เราไม่เอาแล้วระบบแต่งตั้ง คนร่างรัฐธรรมนูญจะต้องมาจากประชาชน สถาบันฯ จะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศและยกเลิก ม.112 ไปด้วย เพื่อให้กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวกับประชาชน เพราะฉะนั้นเราต้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ใต้กฎหมายเดียวกันกับประชาชน

ตัวแทนเครือข่ายรามคำแหง กล่าวต่อว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชาประกาศสงครามกับประชาชน โดยการใช้ ม.112 แต่เราจะสู้ด้วยมือเปล่าของเรากับเผด็จการต่อไป

รุ้ง ย้ำปิดถนนวันนี้ ซ้อมรับมือกับการรัฐประหาร

ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง ขึ้นปราศรัยว่า พวกเราถูกยั่วยุให้ใช้ความรุนแรงแต่เรารู้ดีพอที่จะไม่ใช้ความรุนแรง หากมีการรัฐประหารเราต้องช่วยกันออกมาให้มันทำรัฐประหารไม่สำเร็จ เพราะหากทำไม่สำเร็จใน 3 วันจะทำให้มันเป็นกบฏ

ปนัสยา กล่าวถึงความชอบธรรมของพวกตนในการเคลื่อนไหวว่า คือการที่เรายังออกมาชุมนุมยังใช้สิทธิในการเรียกร้อง ไม่มีใครห้ามเรามาชุมนุมได้ไม่ว่าเราจะมาด้วยเรื่องอะไรก็ตาม จะให้เขาใช้ข้ออ้างว่าเพราะเราพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์ แล้วที่เราออกมาทุกวันนี้ก็ออกมาด้วยความสงบ ออกมาทุกวัยเพื่อให้เขารู้ว่าเราไม่ยอม และมากดดันให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยด้วยความเป็นธรรม เป้าหมายเรามี 3 ข้อคือประยุทธ์ต้องออก แก้รัฐธรรมนูญและปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

สำหรับการต่อต้านรัฐประหาร ปนัสยา ปราศรัยต่อว่า ปัจจุบันนี้ในโซเชียลมีการแชร์อินโฟกราฟฟิกที่บอกวิธีการต่อต้านรัฐประหาร ตอนนี้เรารู้ว่ามันใกล้เข้ามาทุกที เราต้องมีความเตรียมพร้อมในการต้านรัฐประหาร การรัฐประหารจะทำไม่ได้ถ้าข้าราชการชั้นผู้น้อยไม่ร่วมมือ และเมื่อมีการรัฐประหารผู้บังคับบัญชาจะกลายเป็นกบฏ อย่าให้ความร่วมมือกับมัน

ปนัสยา ปราศรัยย้ำว่า การออกมาปิดถนนนี้เป็นการซ้อมรับมือกับการรัฐประหาร แสดงให้เขาเห็นว่าเราไม่ยอม และเราจะออกมาเพื่อแสดงพลังให้เห็นว่าประชาชนจะไม่มีวันยอม

อานนท์ สู้ด้วยสามัญสำนึก

อานนท์ นำภา ปราศรัยว่าตนได้ไปอยู่ในคุกทำให้ได้คิดมบทวนว่าพวกเราคิดอะไรเหมือนกันจริงๆ ที่เราออกมาสู้กันด้วยความเป็นมนุษย์จริงๆ เป็นเรื่องสามัญสำนึกของความเป็นคน อย่างน้องๆ ที่ต่อสู้เรื่องทรงผมเพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนและสติปัญญา แต่ผู้ใหญ่บางคนก็บอกว่าบังเพื่อนข้างหลัง หรือการต่อสู้กับรัฐประหารก็เป็นเรื่องสามัญสำนึก การเราที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้ามาเป็นเรื่องปกติ แต่การมีคนถูกแต่งตั้งเข้ามามันไม่ใช่เรื่องปกติ การบอกว่าองค์หญิงคนหนึ่งออกแบบเสื้อไม่สวยเราก็บอกว่าไม่สวย แล้วเอาเงินภาษีสิบกว่าล้านไปโปรโมท มันไม่มีประเทศไหนที่มีอาจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์และ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่พูดความจริงแล้วต้องลี้ภัย มันไม่มีประเทศไหนที่แต่งตัวเหมือนกษัตริย์แล้วจะต้องโดน ม.112 มันไม่ปกติ แต่พวกเราที่ออกมากันก็เป็นเรื่องปกติ การต่อสู้กับเรื่องไม่ปกตินี่ง่ายที่สุด แต่ในทางกลับกันก็ยากที่สุดด้วย เขาพร้อมที่จะจับคนที่พูดความจริง เขาพร้อมที่สั่งทหารออกมารัฐประหารอีกครั้ง พวกตนอยู่กับความไม่ปกติมา 35 ปี เข้าโรงหนังเพลงขึ้นก็ต้องยืน แต่ตอนนี้ใครที่ยังยืนอยู่ไม่ปกติแล้ว

อานนท์ ยังปราศรัยถึงสัญญาความเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้น เช่นการถ่ายเททรัพย์สิน หรือคนทั้งประเทศตื่นแล้ว หากเกิดรัฐประหาร แล้วกษัตริย์ยังเซ็นรับรองอีกก็จะกระทบต่อสถานะ

อานนท์ ปราศรัยด้วยว่า ตนเชื่ออาชีวะจะถอดชิ้นส่วนรถถังได้ และเชื่อว่าเรียนวิจิตรศิลปะมาจะสามารถสาดสีใส่รถถังได้ และคนอีสานและคนใต้จะเอาปลาร้าน้ำบูดูมาสาดทหารได้ โดยที่การต้านรัฐประหารเราทุกคนจะเป็นแกนนำของตัวเอง และจะต้านรัฐประหารอย่างสุดแรงเกิด

ไผ่ ชําแหละปัญหารัฐประหาร ระบุพรุ่งนี้จะแจ้งการชุมนุมในวันต่อไป ก่อนประกาศยุติชุมนุมวันนี้

จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน ขึ้นปราศรัยว่า 6 ปีที่แล้ว ตอนที่ตนชูสามนิ้วกับเพื่อนๆ เกิดจากพล.อ.ประยุทธ์ท้าทายพวกเราเขาพูดว่า ทุกคนเห็นด้วยกับเขาหมด ไม่มีใครคัดค้านในทุกที่ในประเทศไทย รอบนี้จะมีใครออกมาคัดค้าน 6 ปีที่แล้วมีแค่ 5 คนเราก็ค้าน ณ วันนี้มันจะไม่ใช่แค่นั้น มันจะมีเป็นแสนเป็นล้าน  ในปี 57 เกิดการรัฐประหารหากคนออกมาเยอะ ประยุทธ์ก็จะอยู่ไม่ได้ ต่อไปนี้หากมีรัฐประหารเกิดขึ้นวันไหน เราต้องออกมาต่อต้าน คัดค้าน เป็นการยืนยันว่า มันมีคนที่ไม่เอาเผด็จการ ออกมาชูสามนิ้ว ออกมาทำอะไรก็ได้แสดงให้เห็นว่ามีมนุษย์ที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ใช้กำลังแก้ปัญหาทางการเมือง

ปัญหาของสังคมไทยมันมีมานานมากแล้ว แก้ไม่ได้ วนเป็นวงจรแบบนี้เพราะวัฒนธรรมการเมืองแบบผิดๆ ที่ปล่อยให้คนทำรัฐประหารลอยนวล คนฉีกกฎหมายแล้วยังจะใช้กฎหมาย ม.112 ม.116 มาเล่นงานประชาชน สังคมที่ผู้มีอำนาจใช้กฎหมายโดยไม่คำนึงถึงความยุติธรรม จำกัดความคิดทางการเมือง เพราะคุณไม่สามารถยอมรับความจริงได้ว่าประชาชนเปลี่ยนแปลง  วัฒนธรรมวันนี้ของเราไม่ได้มีวัฒนธรรมเดียว ไม่ใช่ว่า ชาติคือสถาบัน แต่ชาติคือประชาชน คำว่าคน ไม่ใช่คนที่ก้มกราบ แต่เป็นคนที่ยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรี เราไม่เชื่อในสมติเทพ ทุกคนเป็นคนเท่ากัน แค่เราเปลี่ยนความคิดของเราในการมองคน ในการมองตัวเอง แค่นี้ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง เลิกดูถูกตัวเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คุณกับเจ้าก็มีความเป็นคนเฉกเช่นเดียวกัน

จตุภัทร์ ปราศรัยต่อว่า ความจนของเราไม่ใช่เราเกิดมาแล้วเป็นเช่นนั้น เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ที่มันจนเพราะโครงสร้างทางการเมืองไม่เป็นธรรม ทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียม ใครเป็นคนผูกขาดทางเศรษฐกิจ แรงงาน คนชั้นล่างเป็นคนสร้างโลก สร้างทางที่สะดวกสบาย สร้างห้างสพรรพสินค้าใหญ่โต แต่พวกเขาไม่มีศักดิ์ศรีที่จะยืนในสังคมไทยได้อย่างภาคภูมิใจ  เรากำลังพูดถึงชาวนาชาวไร่ที่ได้รับผลกระทบจากการบริหารงานของรัฐบาล รัฐประหารตั้งงแต่ช่วงแรกๆ แต่ไม่สามารถออกมาได้

จตุภัทร์ กล่าวยกย่องคนที่ออกมาต่อสู่หน้าใหม่ว่า กล้าหาญมากที่มองได้ไกลมากกว่าตัวเอง มองเห็นคนอื่น มองเห็นผู้ทุกข์ยาก เห็นอกเห็นใจคนที่ถูกกดขี่ นี่คือความเป็นมนุษย์ มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อฆ่ากัน เกลียดกัน ที่เราเกลียดกันเพราะถูกหล่อหลอม อุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่เคยพูดถึงความเป็นมนุษย์เลย ทำให้คนเหมือนกัน ทั้งที่เราไม่เหมือนกัน เรามีความหลากหลายแต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ เราต้องการความยุติธรรม ความถูกต้อง หากการเมืองมันดี มันจะไม่มีใครถูกจับ ไม่มีใครโดน ม.112 ถ้าการเมืองมันดี เสียงที่เราพูดอยู่นี่จะไปถึงรัฐสภา

สิ่งที่ฝ่ายขวามองแตกต่างจากเราเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เรามองสังคมไทยคนละแบบ วิเคราะห์การเมืองคนละแบบ เขาบอกว่าสิ่งที่หลอมรวมคนไทยทั้งชาติ จุดที่เข้มแข็งที่สุดคือ สถาบันพระมหากษัตริย์ คุณกับเราคิดต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เรากำลังจะบอกว่า สิ่งที่คุณบอกว่าเข้มแข็งที่สุดเป็นปัญหามากที่สุดในสังคมไทย และไม่เคยถูกพูดถึงเลย หมกเม็ดมาโดยตลอด ที่ผ่านมากระบวนการกฎหมายบ้านเราพังหมด ฉีกกฎหมายแล้วเอาตัวเองเป็นกฎหมาย เอาข้อยกเว้นมาเป็นหลัก ประยุทธ์ผิด ม.113 จากการรัฐประหาร แต่ศาลเอาข้อยกเว้นการนิรโทษมาเป็นหลัก ทำไมคุณเลือกปฏิบัติในหลายกรณี กฎหมายไม่ใช่ความยุติธรรม กฎหมายเป็นแค่เครื่องมือ ถ้าเครื่องมือออกมาจากการเมืองที่ดี เครื่องมือนั้นก็จะดี

จตุภัทร์ ปราศรัยชวนให้ผู้ชุมนุมตั้งคำถามกับกฎหมายและที่มาของมัน โดยเขากล่าวด้วยว่า ถ้าที่มามาโดยการรัฐประหารมันไม่ชอบธรรม ไม่ว่าคุณจะดีเลิศเลอขนาดไหน มาไม่ถูกต้องก็คือไม่ถูกต้อง เจตนามาเพื่ออะไร คณะรัฐประหารเวลาจะเข้ามาจะอ้างรูปแบบไม่กี่แบบ หนึ่งคือ ความขัดแย้ง ความวุ่นวาย จริงๆ ความขัดแย้งตอนนี้กับ 6 ปีที่แล้วก็เหมือนเดิม ความขัดแย้งในสังคมไทยเรื่องเดิมคือความไม่ยุติธรรม การสลายการชุมนุมมีคนโดนฆ่า มีคนโดนอุ้มหาย การต้องการความเท่าเทียมด้านเพศภาพ การศึกษา ฯลฯ ปัญหามีมาตลอด แต่รัฐบาลประยุทธ์ให้เราหยุดพูดถึงปัญหา เขาไม่ได้แก้ปัญหา แค่ให้หยุดพูด เพราะการเมืองแบบนี้ทำให้สิทธิเสรีภาพเราไม่พัฒนาไปไหน พอเราจะพัฒนาก็วนหลูปกลับมาพูดว่าควรมีสิทธิทางการเมืองไทย นี่คือวัฒนธรรมที่ไม่ดีของสังคมไทย เราต้องหยุดวัฒนธรรมของการนิ่งเฉย วัฒนธรรมของการสยบยอม เราต้องกล้าหาญแล้วออกมาสู้กับความอยุติธรรม

จตุภัทร์ ย้ำด้วยว่า หากเกิดรัฐประหารเราต้องออกมา ไม่ว่าอยู่ไหนทำอะไรอยู่ต้องออกมารวมกัน ใครมีรถเอารถมาจอดเป็นม็อบคาร์ สิ่งที่ทำเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้รวมกันก็มีพลัง อีกอย่างถ้าใครนึกอะไรไม่ออก ลุกออกมายืนชูสามนิ้วแล้วท่องว่า  “ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาบสูญ ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป เมื่อยืดหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” เพื่อทำให้เขารู้ว่าการรัฐประหารครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม สังคมนี้เปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนไม่กลัวอีกแล้ว เราจะออกมาต่อสู้ด้วยความรัก รักในความยุติธรรม รักในความเป็นมนุษย์

ในตอนท้าย จตุภัทร์ ปราศรัยว่า พรุ่งนี้ จะมีการประชาสัมพันธ์ที่ชุมนุมในวันต่อไปว่าพื้นที่การชุมนุมจะอยู่ตรงไหน ให้ติดตามได้ที่เพจธรรมศาสตร์และการชุมุนม ศึกยกนี้ยาวๆ ไป

“เกิดเป็นไก่ต้องชน เกิดเป็นคนต้องสู้” จตุภัทร์ ปราศรัยทิ้งท้าย ก่อนประกาศยุติการชุมนุม

นิสิตสถาปัตย์ชี้ รัฐที่แข็งตัวไม่เอื้อให้ประเทศพัฒนา

ไตร่ตรอง นิสิตภาควิชาผังเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วัย 23 ปี กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ เพราะความแข็งตัวของรัฐ เมื่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดถี่ขึ้น ยิ่งทำให้รัฐไม่ปรับตัวไม่ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคในประชาคมโลก เมื่อรัฐไม่ได้เตรียมการสำหรับทุนนิยมที่เกิดขึ้นเร็ว และมากจนคุณภาพของคนลดลง เพราะรัฐไม่สามารถกระจายรายได้หรือการถือเงินให้ทุกคน แต่ทุกคนต้องใช้เงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าเรียบร้อยแล้ว ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะชายขอบของประเทศ มีปัญหาเรื่องการใช้จ่าย

ไตร่ตรองเห็นว่า การรัฐประหารทำให้พัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมหยุดชะงัก แต่โลกขับเคลื่อนเร็วกว่ายุคเกษตรกรรม ทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่สามารถอยู่ได้อย่างมั่นคงสถาพร เพราะคนมีมิติในความเป็นคนลึกขึ้น บางคนอาจแค่รู้สึกนับถือ แต่ไม่ได้ต้องการแสดงออกเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะที่รัฐยังจัดการความเป็นคนเท่าเดิมในเรื่องนี้ รัฐหยุดที่จะทำความเข้าใจประชากรในประเทศ และมองเพียงแค่เขาต้องทำหน้าที่พลเมืองดี โดยลืมไปว่าประชาชนสามารถเรียกร้องสิทธิได้ด้วย

นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์กล่าวว่า ตนเห็น 6 ปี ที่ คสช. เข้ามา เปรียบเทียบกับตอนวัยรุ่นที่ความหวังในการกินอยู่แตกต่างกันมาก

"ที่ใกล้ตัวมาก คือ พ่อแม่พาไปกินเอ็มเคได้ตลอดในช่วงวัยเด็ก ค่าครองชีพมันต่ำมากจนเราสามารถจับจ่ายได้ รู้สึกได้ว่าที่บ้านมีความสุข แต่ตอนนี้จะจับจ่ายอะไรต้องคิดมาก แม้เราจะอยู่ในสเตตัสที่รอดมาได้ แต่เราก็เห็นว่าถ้าเป็นคนที่แย่กว่าเราน่าจะมีปัญหาเรียบร้อยแล้ว" ไตร่ตรองกล่าว

ไตร่ตรองกล่าวว่า การรัฐประหารปี 2557 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดี เห็นได้จากเนื้อหาการเรียนในมหาวิทยาลัย และสังเกตจากบริบทรอบตัวว่า ถ้ารัฐลงทุนกับการศึกษาถูกจุด เด็กจะต้องไม่หมดไฟหรือไปทำอย่างอื่น เพราะมหาวิทยาลัยก็คือการลงทุนทางความรู้ของบุคคล เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนา หรือตอบสนองต่อประชากรในประเทศ แต่รัฐไม่ได้สังเกตว่าสิ่งที่เรียนรู้ไม่ได้ก่อให้เกิดผล หรือใช้ชีวิตในยุคนี้ รวมถึงไม่ปกป้องสหภาพแรงงาน ทำให้การเรียน การศึกษาเป็นเรื่องที่เผาผลาญ สอนให้ต้องหาความจริงเพียงหนึ่งเดียว ทั้งที่เด็กยุคนี้มีมิติทางความจริงหลากหลายมากขึ้นแล้ว

"ชุดความจริงหนึ่งที่ช่วงนี้เราพูดกับเพื่อนบ่อย คือ ค่าครองชีพไม่สัมพันธ์กับเงินเดือน ง่ายที่สุดเลย แต่ก่อนพ่อแม่กินชามละ 15 บาท วันหนึ่งก็ 50 บาท รวมค่าเดินทางไปกลับมากที่สุดก็อาจจะวันละ 100 บาท 30 วัน ก็ 3,000 บาท เงินเดือน 15,000 บาท อย่างน้อยอีกครึ่งหนึ่งของเงินเดือน หักค่าอยู่เต็มที่อาจจะ 4,000 บาท ต่อให้คุณใช้เงินเต็มที่ก็ยังเหลือเก็บไปลงทุนได้ แต่ตอนนี้ต่อให้กินอยู่วันละ 100-200 บาท มันก็เกินเงินเดือนแล้ว มันไม่สามารถบอกได้เลยว่าคุณจะมีชีวิตที่ดี มีเงินไปลงทุนอะไรต่อได้ด้วยซ้ำ" ไตร่ตรองกล่าว

นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์กล่าวว่า เด็กยุคนี้ต้องพัฒนาตนเองเองจนไม่รู้จะพัฒนาต่อไปอย่างไรอีกแล้ว เพราะรัฐไม่มีช่องทางที่จะมารองรับฝีมือของเด็ก เพราะสิ่งหนึ่งที่ทำได้คือการจ้างงานและดูแลสหภาพแรงงาน ทำให้งานทุกงานมีการคุ้มครองรายได้ขั้นต่ำ แต่รัฐไม่ดูแลเรื่องนี้เลย ทำให้รายได้ขั้นต่ำเป็นเรื่องที่ฝันไปเลย

อย่างไรก็ตาม ไตร่ตรองมองว่า องค์กรที่อาศัยสัญญาจ้างเหมาช่วงต่อไปเรื่อยๆ เช่น A จ้าง B แต่ B ทำไม่ได้เลยต้องจ้าง C ทำให้องค์กรมีแต่คนไม่มีคุณภาพ ทำให้ตอนนี้เราไม่สามารถมีรัฐสวัสดิการได้โดยไม่ฟุ่มเฟือยเงิน เพราะรัฐแข็งตัว และจ้างคนจนล้นเกินจนไม่สอดคล้องกับพลเมืองที่ต้องพัฒนา รัฐราชการปัจจุบันสามารถลดขนาดได้ โดยเฉพาะในยุคที่ทุกอย่างอยู่บนแพลตฟอร์ม ไม่ใช่กระดาษ แต่รัฐก็แข็งตัวในการพัฒนาตนเองด้วย

ตำรวจวอนแจ้งการชุมนุมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ดูแลไม่ให้กระทบสิทธิผู้อื่น

ด้านสถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ในฐานะโฆษก บช.น. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. ฐานะรองโฆษก บช.น. และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตำรวจ ร่วมแถลงข่าวเตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัย และการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมเห็นต่างทางการเมืองหลายพื้นที่ เมื่อ 12.00 น.

พล.ต.ต.ปิยะ เปิดเผยว่า จากการประกาศผู้ชุมนุมทราบว่าจะมีการชุมนุม 3 วันติดต่อกัน ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 27 พ.ย. 2563 บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ท้องที่ สน.พหลโยธิน วันที่ 28 พ.ย. มีการเชิญชวนให้ไปชุมนุมบริเวณห้างอิมพิเรียลเวิลด์สำโรง พื้นที่รับผิดชอบของ สภ.สำโรงเหนือ และจะเคลื่อนขบวนไปยังบริเวณแยกบางนา อยู่ในเขตรับผิดชอบ สน.บางนา และวันที่ 29 พ.ย. มีการเชิญชวนชุมนุมบริเวณห้างอิมพิเรียลลาดพร้าว ถ.ลาดพร้าว พื้นที่ สน.โชคชัย

รอง ผบช.น. กล่าวว่า ทั้ง 3 จุด ขณะนี้ยังไม่ได้มีการแจ้งการชุมนุมแต่อย่างใด สำหรับการเตรียมความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ได้มีการจัดเตรียมกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนไว้จำนวนชุดละ 3 กองร้อย ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน 3 ผลัด และชุดกองร้อยน้ำหวาน 1 กองร้อย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย

ส่วนการดูแลรักษาความปลอดภัยไม่ให้เกิดเหตุความรุนแรงนั้น พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า การชุมนุมบริเวณต่างๆ ทาง บช.น. จะตั้งจุดตรวจจุดสกัดและมีตำรวจในเครื่องแบบออกตรวจตราบริเวณโดยรอบพื้นที่การชุมนุม หากพบบุคคลต้องสงสัยหรือพบสิ่งผิดปกติใดก็จะทำการตรวจค้น หากพบการกระทำความผิดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามมาตรฐานสากลตามต่างประเทศ เมื่อมีการชุมนุมตามกฎหมายจะมีการแจ้งตำรวจเพื่อรักษาความปลอดภัย

พล.ต.ปิยะ ยอมรับว่า หากผู้ชุมนุมไม่ได้แจ้งการชุมนุมเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่สามารถดำเนินการดูแลการชุมนุมได้ แต่จะมีเจ้าที่ตำรวจคอยตรวจตราดูแลความเรียบร้อย และอยากจะฝากเตือนผู้จัดการชุมนุมกรณีประกาศรับการ์ดอาสาโดยไม่เลือกที่มาที่ไปหลายๆ ที่อาจจะมีปัญหาขัดแย้งทะเลาะกันมาก่อน หรือมีปัญหาทะเลาะกันหน้างาน ถือเป็นข้อห่วงใยจากตำรวจ

ส่วนกรณีเหตุปะทะพื้นที่ สน.พหลโยธิน รองผบช.น. กล่าวว่า ออกหมายจับเพิ่มอีก 1 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวน ยืนยันว่ามีความคืบหน้า ขอสงวนข้อมูลผู้ก่อเหตุดังกล่าว และอยู่ระหว่างขอออกหมายจับมือขว้างระเบิด ส่วนความชัดเจนว่าเป็นคนที่แฝงเข้ามาในกลุ่มการ์ดราษฎรนั้น สอบถามความชัดเจนแล้วแต่ก็ยังตอบตำรวจไม่ได้จากการดูภาพและมีความคลาดเคลื่อน

พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า ส่วนของการจราจรนั้น บริเวณห้าแยกลาดพร้าวจะมีการเปิดการจราจรตามปกติ ยกเว้นกลุ่มผู้ชุมนุมลงไปกีดขวางพื้นผิวการจราจรต้องปิดการจราจร เนื่องจากอาจทำให้กระทบกับ ถ.พหลโยธินทั้งขาเข้าตั้งแต่แยกรัชโยธินถึงห้าแยกลาดพร้าว และขาออกตั้งแต่แยกกำแพงเพชรที่ผ่านบริเวณดังกล่าว ส่วนบริเวณถนนวิภาวดีรังสิตพื้นราบช่องทางคู่ขนานอาจจะเคลื่อนตัวไปไม่ได้ กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมลงพื้นที่พื้นผิวการจราจร บริเวณทางข้ามห้าแยกลาดพร้าวใช้ได้ตามปกติ และเส้นทางที่อาจหลีกเลี่ยงใช้ทางยกระดับโทลล์เวย์ ส่วนถนนแนะนำให้หลีกเลี่ยงไปใช้แทนบริเวณดังกล่าว คือ ถ.รัชดาภิเษก ถ.โชคชัย 4 ถ.สุทธิสาร และ ถ.กำแพงเพชร 2 รอบบริเวณรอบแยกจะสะดวกกว่า

ส่วนในวันที่ 28 พ.ย. กลุ่มพี่น้องประชาชนไปชุมนุมเคลื่อนตัวจากแยกสำโรงมาที่แยกบางนานั้น พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า บริเวณบางนาพื้นราบจะไม่สามารถใช้การได้ ขอให้ใช้สะพานข้ามแยก ส่วนถนนสุขุมวิทขาเข้า-ขาออกต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางอื่น ตั้งแต่แยกอุดมสุขไปยังถนนศรีนครินทร์ไปออก ถ.บางนา-ตราด ถึงแม้จะใช้การได้แต่อยากให้พี่น้องประชาชนเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 29 พ.ย. ที่จะมีการชุมนุมบริเวณถนนลาดพร้าวอาจจะกระทบในส่วนของขาออกแต่ขาเข้ายังพอใช้การได้ แต่หากมีการวางแผนให้ไปใช้ ถ.หัวหมาก ถ.ประเสริฐมนูกิจ ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม และ ถ.รามอินทราจะสะดวกกว่า

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า การนัดการชุมนุมทั้ง 3 วันดังกล่าวขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมปฏิบัติตามกฎหมายพ.ร.บ.การชุมสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องให้ทราบเกี่ยวกับการชุมนุม วัตถุประสงค์ จำนวนคน ห้วงระยะเวลา สถานที่ และเน้นให้การชุมนุมสงบปราศจากอาวุธ ไม่กระทบสิทธิผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม โฆษกตำรวจกล่าวว่า จากการชุมนุมที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่เกิดความไม่สงบเกิดขึ้น รวมถึงการใช้ป้ายต่างๆ ห้ามมีข้อความหมิ่นประมาท ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่อง การใช้รถติดตั้งอุปกรณ์ขยายเสียงต้องเป็นไปตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง การชุมนุมเป็นสิทธิของผู้ชุมนุมแต่ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า หลักในการชุมนุมสาธารณะนั้น ผู้จัดการชุมนุมจะต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่เพื่อมีการจำกัดพื้นที่ จำกัดการดูแลเรื่องของจำนวนคน จำกัดเวลาให้เป็นไปตามกรอบ แม้ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้แจ้ง ก็เป็นหน้าที่ของตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมาย แต่การแจ้งการชุมนุมจะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการประสานการชุมนุมแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ไม่ได้ปิดกั้นการชุมนุม ตรงกันข้ามเป็นการส่งเสริมแต่มีเงื่อนไขให้มีการแจ้งให้ทราบเท่านั้น

ส่วนกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจโพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า ได้เบี้ยเลี้ยงล่าช้านั้น พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า โดยหลักการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจมีสิทธิเบิกเบี้ยเลี้ยงตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็นเบี้ยเลี้ยงที่ใช้ตามปกติ หรือเดินทางไปปฏิบัติราชการ มี 2 ส่วนคือ การยืมเงินล่วงหน้า และหรือเบิกเงินย้อนหลังปฏิบัติภารกิจ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ไม่นิ่งนอนใจ ได้สั่งการผู้บัญชาการสำนักงบประมาณทำการตรวจสอบและให้ดำเนินการเบิกจ่ายให้ตรงเวลา พร้อมกับให้มีการชี้แจงให้ทราบอย่างละเอียด ไม่ใช่เป็นการล่าช้า แต่อยู่ระหว่างขั้นตอนการเบิกจ่าย ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ผบ.ตร. จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ฝากถึงพี่น้องตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อะไรที่เป็นสิทธิที่ทุกคนต้องได้รับผู้บังคับบัญชาไม่นิ่งนอนใจ พร้อมที่จะเดินหน้าแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา แต่หากมีความล่าช้าก็จะตรวจสอบเพื่อความกระจ่าง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net