เป็นเวลา 10 ปีแล้วตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) ที่ชุมนุมกันยาว 3 เดือนเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่
และเพราะเป็น 10 ปีหรือครึ่งทางของอายุความคดีอาญาแล้ว เราจึงขอทบทวนมันอีกครั้ง โดยเฉพาะความคืบหน้าคดีผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมทั้ง 94 คน แบ่งเป็นประชาชน 84 คน เจ้าหน้าที่ 10 คน (อ้างอิงตัวเลขตามรายงานของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับกระทบจากการสลายการชุมนุมเมษา-พฤษภา 53 หรือ ศปช.ซึ่งนับการเสียชีวิตภายหลังเหตุการณ์แต่สืบเนื่องจากการสลายการชุมนุมเพิ่มด้วยอีก 3 ราย)
เท้าความก่อนกว่า การชุมนุมในยุคก่อนนั้นโดยมากเป็นการชุมนุมยืดเยื้อเพื่อบรรลุข้อเรียกร้อง กรณีของนปช.เริ่มต้นในวันที่ 12 มีนาคม มวลชนหลักนอกจากคนจนเมืองแล้วยังประกอบไปด้วยคนต่างจังหวัดจำนวนมากที่พร้อมปักหลักค้างแรม
ช่วงแรกนายกรัฐมนตรีรับมือด้วยการออกคำสั่งตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบหรือ ศอ.รส.ขึ้น (11 มี.ค.) ตามอำนาจของ พ.ร.บ.ความมั่นคงก่อนเพื่อควบคุมสถานการณ์ แต่การชุมนุมก็ยังดำเนินต่ออีกหลายสัปดาห์ นอกจากจะปักหลักที่ถนนราชดำเนิน ยังยกระดับไปปักหลักที่ราชประสงค์ (6 เม.ย.) เพิ่มเติม ต่อมา 7 เม.ย.รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเพื่อใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเปลี่ยนชื่อ ศอ.รส.เป็น ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง หรือ ศอฉ.
สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี (ที่มา: ศูนย์สื่อทำเนียบรัฐบาล)
สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ส่วน พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เป็นรองผู้อำนวยการ คณะกรรมการประกอบด้วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปลัดกระทรวงต่างๆ อัยการสูงสุด ฯลฯ ทุกปฏิบัติการในการสลายการชุมนุมมาจากส่วนนี้
บุคคลที่นั่งใน ศอฉ.เวลานั้นหลายคนทรงอำนาจอยู่ในทุกวันนี้ เช่น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ.ช่วงสลายการชุมนุมอยู่ในฐานะผู้ปฏิบัติงานและได้ขยับเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอฉ.พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ในเวลานั้นก็เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็มีบุคคลที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของ ศอฉ.แต่ถูกดำเนินคดีเสียเองอย่าง ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
3 วันต่อมา ศอฉ.ก็ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้าสลายชุมนุมครั้งแรก ภายใต้ชื่อปฏิบัติการที่ดูอ่อนโยน ‘ขอคืนพื้นที่’ ที่ถนนราชดำเนินในวันที่ 10 เม.ย. ก่อนจะมีปฏิบัติการพร้อมอาวุธสงครามครั้งที่สองในชื่ออันเป็นมิตร ‘กระชับพื้นที่’ โดยใช้ทหารตั้งวงล้อมพื้นที่ศาลาแดงตั้งแต่ 13 พ.ค.และสลายการชุมนุมได้สำเร็จในวันที่ 19 พ.ค.
โอนคดีจากตำรวจไป ‘ดีเอสไอ’ เปิดช่องไร้กรอบเวลา
คืนวันที่ 10 เม.ย.เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญเพราะเป็นเหตุการณ์แรกที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ต่อมาวันที่ 16 เม.ย. ศอฉ.มีมติให้คดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของ นปช.ไปอยู่ในมือดีเอสไอทั้งหมด โดยธาริต เพ็งดิษฐ์ นั่งเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอควบตำแหน่งใน ศอฉ.ด้วยในคราวเดียวกัน
ก้าวย่างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการโอนคดีไปดีเอสไอกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คดีของผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คน ยังไม่ไปถึงไหนจนปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายดีเอสไอไม่มีการกำหนดเวลาทำสำนวนเพื่อไต่สวนการตายดังเช่นคดีปกติ
ต้องเข้าใจกระบวนการทางกฎหมายกันก่อนว่า หากมีการเสียชีวิตผิดธรรมชาติทั้งการวิสามัญฆาตกรรมหรือการตายในระหว่างการควบคุมตัวหรือรักษาพยาบาลที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง ไม่ว่าทหาร ตำรวจ ราชทัณฑ์ รวมถึงแพทย์พยาบาล จะต้อง ‘ไต่สวนการตาย’ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ซึ่งมีเวลากำหนดชัดเจนว่า ตำรวจและอัยการต้องดำเนินการโดยแม้ขยายเวลามากที่สุดแล้วก็ต้องอยู่ภายใน 247 วัน ก่อนยื่นขอต่อศาลให้มีการไต่สวนการตาย หลังจากศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายแล้วจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญา
ขั้นตอนโดยสรุปมีดังนี้
- ตำรวจท้องที่และกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเก็บหลักฐาน
- ตำรวจ อัยการ ฝ่ายปกครองและแพทย์นิติเวช ชันสูตรพลิกศพร่วมกัน
- ตำรวจทำสำนวนส่งให้อัยการ
- อัยการพิจารณาแล้วยื่นคำร้องต่อศาลให้ไต่สวนการตาย
- ศาลไต่สวนการตายและมีคำสั่งว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ได้ ตายด้วยสาเหตุใด ใครเป็นผู้กระทำ
ดังนั้น ตามกระบวนการมาตรา 150 ไม่ว่าจะทำให้ช้าขนาดไหนก็ช้าได้แค่ 8 เดือนกว่าก่อนถึงศาล และไม่มีดีเอสไอเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนกระบวนการไต่สวนในศาลอาจใช้เวลาตั้งแต่ 1 เดือนจนถึง 2 ปี แล้วแต่จำนวนพยานที่นำสืบ
สิบเอก คชารัตน์ เนียมรอด (ซ้าย) และ สิบเอกศฤงคาร ทวีชีพ (ขวา) ทหารสองนายเคยเป็นพยานที่ดีเอสไอเคยเรียกสอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่บริเวณบ่อนไก่ ถ.พระราม 4
เมื่อเรื่องถึงศาลจะมีการเปิดการไต่สวนแบบเปิดสาธารณะ (แม้ว่าหลายครั้ง ในคดีสลายการชุมนุมผู้พิพากษาสั่งห้ามจดบันทึกหรือไม่ให้นักข่าวร่วมฟัง โดยอ้างเรื่องความเป็นส่วนตัวของพยานทหาร) โดยอัยการจะนำพยานบุคคลมาเบิกความถึงเหตุการณ์และแสดงหลักฐานว่า ผู้ตายเป็นใคร ตายเมื่อไร ที่ไหน อย่างไร โดยครอบครัวผู้ตายสามารถตั้งทนายความเข้ามาซักถามพยาน ขอดูหลักฐานของอัยการและนำพยานบุคคลและหลักฐานมาแสดงต่อศาลเพิ่มเติมได้
แต่เมื่อคดีนี้ไปอยู่ในมือดีเอสไอทำให้เกิดความล่าช้า เพราะเมื่อพนักงานสอบสวนในท้องที่ทำการชันสูตรศพแล้ว แทนที่จะส่งอัยการได้เลยก็ต้องส่งสำนวนคดีกลับไปให้ดีเอสไอสืบสวนสอบสวนต่อก่อน และ พ.ร.บ.กรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาไว้ว่าต้องแล้วเสร็จภายในกี่วัน จึงไม่แปลกที่คดีจะแทบไม่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม คดีของผู้เสียชีวิต 91 ราย (ตัวเลขทางการ) มีความคืบหน้าอยู่ในช่วงสั้นๆ ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนจะโดนรัฐประหารในที่สุด เท่าที่ประชาไทสืบค้นได้พบว่ามีการไต่สวนการตายในศาลไปแล้ว 33 คน หลังจากศาลมีคำสั่งไต่สวนแล้ว คดีก็จะกลับไปที่ดีเอสไออีกครั้งเพื่อทำสำนวนคดีอาญาแล้วส่งต่อให้อัยการพิจารณาส่งฟ้อง(หรือไม่ฟ้อง) เป็นคดีอาญาต่อไป
-
11 คน ศาลมีคำสั่งอย่างชัดเจนว่าเป็นการตายที่เกิดจากการกระทำของทหาร
-
16 คน ศาลเพียงระบุว่ากระสุนมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่โดยไม่ทราบผู้กระทำ (ในจำนวนนี้มี 3 คนที่ศาลระบุว่ากระสุนมาจากพื้นที่ใด แต่ไม่ระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวทหารควบคุมแล้ว)
-
6 คน ศาลไม่ระบุทั้งผู้กระทำและทิศทางการยิง
กว่าจะรู้ความคืบหน้าคดีจากดีเอสไอ
หลังการรัฐประหาร ไม่มีความคืบหน้าใดในเรื่องนี้กว่า 6 ปี ในเดือนพฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมาประชาไทจึงทำหนังสือขอทราบความคืบหน้าคดีของผู้เสียชีวิตที่เหลือไปที่ดีเอสไอว่าอยู่ในขั้นตอนใดแล้ว ต่อมาดีเอสไอปฏิเสธให้ข้อมูลอ้างว่าเป็นความลับในสำนวนคดี ประชาไทจึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ คณะกรรมการวินิจฉัยให้ดีเอสไอให้ข้อมูลเพราะเป็นเพียงการถามความคืบหน้า มิใช่ข้อมูลในสำนวนคดี วันที่ 16 ต.ค.2563 ดีเอสไอจึงมีหนังสือตอบกลับมาว่า “ได้ส่งสำนวนคดีของผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่เหลืออยู่ไปให้อัยการคดีพิเศษแล้ว” (ดูรายชื่อในล้อกรอบด้านล่าง) นอกจากนี้ประชาไทได้ทำหนังสือถึงสำนักงานอัยการเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2563 เพื่อสอบถามความคืบหน้าคดีทั้งหมดว่ามีการไต่สวนการตายไปแล้วกี่ราย หรือถึงขั้นดำเนินคดีอาญาบ้างแล้วหรือไม่ แต่จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2563 อัยการยังไม่ได้มีหนังสือตอบกลับมา นอกจากคำตอบจากเจ้าหน้าที่ผ่านสายโทรศัพท์ว่าอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลจากสำนักงานอัยการคดีพิเศษกองที่ 1 และ 4
6 เดือนที่ติดตามความคืบหน้าทางคดีจาก 2 หน่วยงานได้ผลสรุปว่า ไม่มีคำตอบที่ชัดแจ้ง
ศาลพลเรือนไม่รับ-อัยการทหารไม่ฟ้อง
อย่างไรก็ตาม ปรากฏมีคดีของผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คดีที่มีความเคลื่อนไหวอยู่บ้าง คือ
-
พัน คำกอง ครอบครัวและทนายความยื่นฟ้องต่อศาลอาญาเอง ศาลอาญา-ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟ้องอ้างว่าอยู่ในอำนาจของศาลทหาร
-
กมนเกด อัคฮาด ดีเอสไอมีความเห็นสั่งฟ้องและส่งสำนวนต่อให้อัยการศาลทหาร อัยการทหารสั่งไม่ฟ้อง อ้างหลักฐานไม่เพียงพอ
(อ่านรายละเอียดคำสั่งในล้อมกรอบท้ายรายงาน)
ทั้งนี้ ในชั้นไต่สวนการตาย ทั้ง 2 คดีนี้ศาลยุติธรรมเห็นว่า พยานหลักฐานเพียงพอที่จะมีคำสั่งว่าเสียชีวิตจากการที่ทหารใช้อาวุธปืนสงครามยิง นี่เป็นเพียง 2 คดีที่มีความคืบหน้ามากที่สุดจนถึงขั้นการฟ้องเป็นคดีอาญา แม้การฟ้องจะต่างเส้นทาง แต่ก็ไปสู่จุดร่วมเดียวกันคือ ไปต่อไม่ได้ ไม่มีใครต้องรับผิด
“ถ้าเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมโดยปกติจะไม่ใช่แบบนี้ แต่นี่มันไม่ปกติ เพราะมีคนไปทำให้มันไม่ปกติ มันจึงไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น” โชคชัย อ่างแก้ว กล่าว
โชคชัย อ่างแก้ว เป็นหนึ่งในทนายความที่ให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมหลายคนในคดีไต่สวนการตาย และยังเป็นทนายความให้ครอบครัวของพัน คำกองอีกด้วย
โชคชัยกล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาทำได้แค่ไต่สวนการตายเพื่อทราบสาเหตุว่าการตายเกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร ขณะที่ความคาดหวังของญาติผู้เสียชีวิตต้องการให้ผู้กระทำความผิดได้รับการลงโทษ พวกเขาพยายามไปร้องที่ ป.ป.ช. ดีเอสไอ อัยการ เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดแต่ผลสุดท้ายก็หยุดไปหมด เหมือนถูกสะกัดทุกช่องทาง สุดท้ายจึงต้องพึ่งตัวเองด้วยการฟ้องผู้กระทำความผิดด้วยตัวเอง
“เราเริ่มฟ้องเมื่อกันยายน 2562 โดยเอาการตายของพัน คำกอง มาฟ้องเพราะศาลมีคำสั่งไต่สวนการตายชี้ชัดแล้วว่าการตายเกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร พยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจน ทั้งคลิปทั้งผู้ที่ทราบถึงหน่วยทหารที่รับผิดชอบแล้วก็ผู้ควบคุมการปฏิบัติ เราฟ้องผู้ควบคุมการปฏิบัติในการกระทำการที่เป็นเหตุให้นายพัน คำกอง ถึงแก่ความตาย แต่ศาลก็มีคำสั่งไม่รับฟ้อง”
ทนายความอธิบายว่า เมื่อฟ้องว่าทหารร่วมกระทำความผิดกับพลเรือนแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด โดยปกติแล้วศาลจะรับฟ้องไว้ก่อนแล้วไต่สวนว่ามีพลเรือนหรือใครที่เกี่ยวข้องที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง แล้วทำให้ข้อเท็จจริงปรากฏ กระบวนการยุติธรรมต้องพิสูจน์ว่ามีเจตนาฆ่าหรือไม่อย่างไร แต่เมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้อง เขาจึงอุทธรณ์ต่อ แต่สุดท้ายศาลอุทธรณ์ก็มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น อย่างไรก็ตาม เขายังคงยืนยันว่ายังมีช่องทางให้ยื่นฟ้องต่อไปได้ แต่อาจกระทำในเวลาที่คิดว่าเหมาะสม เป็นประชาธิปไตยเต็มที่
ภาพแนวทหารที่ถนนราชปรารภในวันที่ 14 พ.ค.2553 ในช่วงบ่าย
“ก่อนหน้าจะตัดสินใจฟ้องเอง ตอนแรกมันเป็นหน้าที่ ป.ป.ช.ต้องไต่สวน เพราะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ ป.ป.ช.ส่งมาให้ดีเอสไอ เพราะป.ป.ช.ไม่มีความเชี่ยวชาญในคดีอาญา ทราบว่าดีเอสไอก็ทำไปเยอะแล้ว คดีไหนที่ศาลสั่งไม่มีตัวผู้กระทำผิดชัดเจนก็ยุติการสอบสวนไป บางสำนวนส่งไปที่อัยการ อัยการก็ยุติการสอบสวนไปเยอะแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีใครออกมาบอกว่าคดีไหนไปถึงไหน ถึงอย่างนั้นก็ตาม การที่ดีเอสไอหรืออัยการยุติการสอบสวน ไม่ได้ทำให้สิทธิในการฟ้องคดีระงับไป ผู้กระทำผิดที่ลอยนวลอยู่วันหนึ่งข้างหน้าก็อาจถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมได้”
“ก่อนที่จะมีการยึดอำนาจ ผมทราบว่ามีอีกหลายศพที่เขาจะดำเนินการไต่สวนการตาย แต่แล้วก็เงียบไปหลังจากยึดอำนาจ เช่นคดีน้องเฌอ (สมาพันธ์ ศรีเทพ)” โชคชัยกล่าว
ป.ป.ช.ไม่ฟ้องอภิสิทธิ์-สุเทพ-อนุพงษ์ เหตุทำใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ที่ผ่านมายังมีความพยายามในช่องทางอื่นๆ อีกคือ
กรณีที่ดีเอสไอฟ้องผู้สั่งการคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่ศาลก็มีคำสั่งเหมือนกันทั้ง 3 ศาลคือ ไม่รับฟ้อง โดยอ้างว่าศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ แต่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้มีตำแหน่งทางการเมืองซึ่งอำนาจสอบสวนอยู่ในมือของ ป.ป.ช.
ด้านป.ป.ช.ก็มีมติยกคำร้อง ทั้ง อภิสิทธิ์ สุเทพ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ทำให้ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา เนื่องจากในช่วงเวลานั้นมีประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง อีกทั้งศาลเคยระบุว่าการชุมนุมของ นปช.เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายและมีบุคคลที่ใช้อาวุธปืนที่ชุมนุมอีกด้วย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ(ภาพซ้าย) และธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ(ภาพขวา)
การดำเนินการของดีเอสไอในการฟ้องอภิสิทธิ์และสุเทพในครั้งนั้นยังทำให้ธาริต อดีตอธิบดีดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ดีเอสไออีก 3 คนถูกอภิสิทธิ์และสุเทพดำเนินคดีเสียเองด้วยข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตและมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200 โดยพวกเขาถูกกล่าวหาว่าการสรุปสำนวนคดีส่งฟ้องอภิสิทธิ์และสุเทพในครั้งนั้นเป็นการแจ้งข้อหาบิดเบือนจากข้อเท็จจริง และเจตนากลั่นแกล้งทั้งสองคน แม้ว่าในศาลชั้นต้นจะยกฟ้องธาริตและพวกโดยให้เหตุผลว่าพยานโจทก์มีน้ำหนักน้อยแต่เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2563 ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกธาริตและพวกอีก 3 คน คนละ 2 ปี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด และทั้งหมดได้รับการประกันตัวออกมาสู้คดี
โชคชัยกล่าวถึงกรณีที่ดีเอสไอฟ้องสุเทพและอภิสิทธิ์ว่า ตอนนั้นญาติผู้เสียชีวิตเข้าไปเป็นโจทก์ร่วมด้วย แต่สุดท้ายศาลมีคำพิพากษาในลักษณะที่ว่าการสอบสวนของดีเอสไอไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากอยู่ในอำนาจสอบสวนของ ป.ป.ช. ประเด็นจึงเหมือนกับช่องทางฟ้องไปไม่ถูกต้อง การสอบสวนมาไม่ถูกต้อง แต่ไม่มีโอกาสพิจารณาว่าการกระทำของผู้ที่ถูกฟ้องผิดจริงหรือไม่อย่างไร
“ที่จริงแล้วการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กำหนดไว้ชัดเจนว่าคุณต้องกระทำเท่าที่จำเป็นโดยสุจริต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเกินกว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะคุ้มครอง การสั่งสลายการชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักสากล มีการใช้อาวุธกระสุนจริง เป็นปฏิบัติการที่เราเห็นชัดว่าเลยจากที่กฎหมายจะคุ้มครอง” โชคชัยให้ความเห็น
โชคชัยยังกล่าวอีกว่า ในรัฐธรรมนูญ 2550 เคยมีช่องทางตามมาตรา 275 ให้ผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อขอให้ตั้งผู้ไต่สวนอิสระมาพิจารณาคดีได้ในกรณีที่ ป.ป.ช.ตีตกไม่รับดำเนินการไต่สวนในความผิดต่อตำแหน่งที่ราชการของผู้มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ในรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ได้ตัดช่องทางนี้ออกไป
ทั้งนี้โชคชัยเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนทำกันเองไม่พอ แต่ต้องหวังให้รัฐบาลเจตจำนงค์ในการทำให้เกิดความยุติธรรมด้วยซึ่งเขาเห็นว่าถ้าเป็นรัฐบาลชุดนี้ก็เหมือนวิ่งชนกำแพง ทั้งนี้ยังเหลือเวลาอีก 10 สำหรับคดีอาญาที่มีอายุความ 20 ปี แต่ในกรณีที่เป็นคดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ก็จะเหลือเพียง 5 ปีเนื่องจากมีอายุความเพียง 15 ปี
ฟ้องแพ่งไม่ได้ ฟ้องศาลปกครองไม่ได้
นอกจากการดำเนินคดีอาญาจะปิดเกือบหมดแล้ว กระบวนการทางแพ่งก็สิ้นสุดไปเมื่อมีการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะเงื่อนไขหนึ่งในการรับเงินเยียวยาคือต้องไม่มีการฟ้องเป็นคดีแพ่งอีก
ขณะที่ศาลปกครองก็ถูกตัดอำนาจในการเข้ามาพิจารณาคดี เนื่องจากมาตรา 16 ในพ.ร.ก.ฉุกเฉินได้กำหนดให้คำสั่งทางปกครองที่ออกภายใต้อำนาจของพ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่เป็นความผิดทางปกครอง
หลังเหตุการณ์ไม่นานนัก คารม พลพรกลาง ทนายความที่ให้ความช่วยเหลือทางคดีกับผู้ชุมนุม นปช.เคยยื่นฟ้องอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นว่ามีการใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเนื่องจากเป็นกฎหมายที่ออกภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 กฎหมายจึงต้องสิ้นสภาพไป ศาลปกครองได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นนี้และประเด็นที่ศาลปกครองมีอำนาจในการพิจารณาคดีนี้หรือไม่เนื่องจากมาตรา 16 ของพ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ตัดศาลปกครองออกจากการพิจารณาคดีที่สืบเนื่องจากคำสั่งของรัฐบาลที่ออกตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน 9 มิ.ย.2553 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงของรัฐบาลนั้นสมควรแก่เหตุ เนื่องจากมีเหตุจลาจลเกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ย่อมมีเหตุจำเป็นต้องใช้อำนาจรัฐในการระงับเหตุ และที่พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีมาตรา 16 ตัดอำนาจในการพิจารณาคดีของศาลปกครองออกไปก็เพื่อให้การดำเนินการของรัฐเป็นไปอย่างรวดเร็วในการแก้ไขสถานการณ์ และนอกจากพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วก็ยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่ตัดอำนาจศาลปกครองในการเข้ามาพิจารณาด้วยเหมือนกัน ศาลรัฐธรรมนูญจึงเห็นว่ามาตรา 16 ของพ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ 2550
คนอนุมัติเยียวยาอาจถูกดำเนินคดีเสียเอง
ในขณะที่คดีอาญาไม่เห็นความคืบหน้า ครอบครัวของสมาพันธ์ ศรีเทพ หรือเฌอ และครอบครัวของกมนเกด อัคฮาด ได้เดินหน้าฟ้องคดีแพ่งต่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้ออกคำสั่งตั้ง ศอฉ.และสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. เรียกค่าเสียหายในความผิดฐานละเมิดเอาไว้ แต่ก็จบไปหลังจากมีการจ่ายเงินเยียวยา
ปี 2555 ครม.ยิ่งลักษณ์มีมติให้จ่ายชดเชยค่าเสียหายแก่ผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงผู้ที่ทรัพย์สินเสียหายจากการสลายการชุมนุมไปแล้ว โดยมีวงเงินในการชดเชยกว่า 2 พันล้านบาทและให้แก่ผู้เสียหายต่างๆ ย้อนหลังกลับไปถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ด้วย โดยผู้เสียชีวิตจะได้เงินเป็นจำนวน 7.5 ล้านบาท ในแบบฟอร์มยินยอมรับเงินเยียวยาระบุว่าผู้รับเงินต้องยินยอมสละสิทธิรับเงินช่วยเหลืออื่นๆ จากภาครัฐ และต้องไม่ใช้สิทธิฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานรัฐอีก
เศกสิทธิ์ ช้างทอง(ขวา) และ สันติพงษ์ มูลฟอง (ซ้าย) ผู้ที่ต้องเสียดวงตาไปในเหตุการณ์สลายการชุมนุม 2553 ขณะเข้ารับเงินเยียวยากรมคุ้มครองสิทธิฯ ในปี 2554 ก่อนรอบรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะมีมติจ่ายเงินเยียวยาในปีถัดมา
อย่างไรก็ตาม มีความพยายามดำเนินคดีกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์จากขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้ามด้วย โดยสาธิต ปิตุเตชะ พรรคประชาธิปัตย์ฟ้องศาลปกครองให้ระงับมติ ครม.ในการจ่ายเงินเยียวยาโดยระบุว่าเป็นการเยียวยาบุคคลที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือไม่ ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับฟ้อง เนื่องจากกิจการในทางรัฐประศาสน์นโยบาย ไม่ใช่การกระทำทางปกครองที่จะอยู่ในอำนาจของศาล ความพยายามจัดการกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วยประเด็นจ่ายเงินเยียวยานี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อวิชา มหาคุณ หนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช.ให้ข่าวว่า ป.ป.ช.มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหายิ่งลักษณ์ และครม.36 คนที่มีมติจ่ายเงินเยียวยาโดยไม่มีอำนาจ เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับและเป็นไปเพื่อช่วยเหลือพวกพ้อง เป็นการหลีกเลี่ยงละเว้นไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามพ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของประเทศ คดีนี้ ป.ป.ช.ยังคงมีการไต่สวนข้อเท็จจริงอยู่
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ดูเหมือนว่ากระบวนการยุติธรรมภายในประเทศแทบไม่สามารถทำงานเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ อีกทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความรุนแรงต่างก็ยังมีอำนาจอยู่ในรัฐบาลหรือกองทัพในทุกวันนี้
คำถามคือแล้วเราจะตามหาความยุติธรรมในประเทศนี้ได้ที่ไหนอีกบ้าง? กลไกระหว่างประเทศช่วยได้ไหม? ติดตามต่อในตอนหน้า
คดีของพัน คำกอง
ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ ไม่รับฟ้อง โดยศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร เนื่องจากจำเลยเป็นทหาร อีกทั้งศาลชั้นต้นมีคำสั่งในชั้นไต่สวนการตายว่าผู้เสียชีวิตถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่ทหารโดยไม่ได้มีพลเรือนร่วมกระทำการด้วย ที่โจทก์อ้างว่ามีพลเรือนด้วยนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดและมีจำนวนกี่คน ดังนั้นคดีจึงไม่ได้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลอาญา
ศาลอุทธรณ์ยังระบุอีกว่า ที่โจทก์อ้างคำพิพากษาศาลฎีกามา 2 คดีว่าศาลยุติธรรมเคยรับพิจารณาคดีมาแล้วในคดีที่ทหารร่วมกับพลเรือนกระทำความผิดแม้ไม่รู้ว่าพลเรือนเป็นใครนั้น เห็นว่ามีข้อเท็จจริงต่างจากคดีนี้ ศาลอุทธรณ์จึงเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งไม่รับฟ้อง
ทั้งนี้ เมื่อลองค้นคำพิพากษาศาลฎีกาโจทก์ใช้อ้างในคดีนี้พบว่า หนึ่งในนั้นเป็นคดีที่ทหารร่วมกับพวกซึ่งไม่ได้แต่งเครื่องแบบทหาร-ไม่ปรากฏชัดว่าเป็นทหาร ที่ยังหลบหนีอยู่กระทำการขโมยปลอกกระสุนในฐานทัพสหรัฐอเมริกา (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1105/2513) ส่วนอีกคดีเป็นคดีที่ทหารร่วมกับพวก “ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพวกของจำเลยเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ คดีนี้จึงต้องขึ้นศาลพลเรือน” (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2532)
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ พิเศษ 1/2553 เรื่อง การจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน และ 2/2553 เรื่อง แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน หัวหน้าผู้รับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง จะเห็นว่าไม่ได้มีเพียงเจ้าหน้าที่ทหารที่ต้องปฏิบัติการตามคำสั่งของ ศอฉ. เท่านั้น แต่ยังรวมถึงตำรวจและพลเรือนด้วย
คดีของกมนเกด
“กรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอเรียนว่ากรณีดังกล่าวได้สอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และส่งสำนวนการสอบสวนให้สำนักงานอัยการทหารพิจารณาแล้ว ซึ่งสำนักงานอัยการทหารได้มีความเห็นว่า คดีนี้ไม่ปรากฏว่ามีประจักษ์พยาน พยานพฤติเหตุแวดล้อม หรือพยานหลักฐานอื่นใด ที่ยืนยันได้ว่าผู้ต้องหาทั้งแปดกระทำผิดดังกล่าว ดังนั้น ทางคดีจึงไม่มีพยานหลักฐานพอรับฟังได้ว่าผู้ต้องหาทั้งแปดกระทำความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,83 จึงสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งแปด”
ย่อหน้าข้างต้นเป็นข้อความที่ดีเอสไอมีหนังสือแจ้งผลคดีถึงพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของกมนเกด ลงวันที่ 25 พ.ค.2563 ว่าอัยการทหารสั่งไม่ฟ้องทหารจำนวน 8 คนที่ปฏิบัติการบนรางรถไฟฟ้าในวันที่ 19 พ.ค.2553 และมีการยิงเข้าไปในเขตวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ซึ่งเป็นคดีที่ศาลอาญามีผลคำสั่งไต่สวนการตายแล้วว่าเป็นการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ทหาร
รายชื่อผู้เสียชีวิตที่สำนวนไต่สวนการตายยังอยู่ในชั้นอัยการ
ลำดับ |
รายชื่อ |
สถานที่เสียชีวิต |
10 เมษายน 2553 |
||
1 |
ตะนาว (สี่แยกคอกวัว) |
|
2 |
ตะนาว (สี่แยกคอกวัว) |
|
3 |
ตะนาว (สี่แยกคอกวัว) |
|
4 |
ตะนาว (สี่แยกคอกวัว) |
|
5 |
ตะนาว (สี่แยกคอกวัว) |
|
6 |
ตะนาว (สี่แยกคอกวัว) |
|
7 |
ตะนาว (สี่แยกคอกวัว) |
|
8 |
ตะนาว (สี่แยกคอกวัว) |
|
9 |
ตะนาว (สี่แยกคอกวัว) |
|
10 |
ตะนาว (สี่แยกคอกวัว) |
|
11 |
ดินสอ(สตรีวิทยา) |
|
12 |
ดินสอ(สตรีวิทยา) |
|
13 |
ดินสอ(สตรีวิทยา) |
|
14 |
ดินสอ(สตรีวิทยา) |
|
15 |
ดินสอ(สตรีวิทยา) |
|
16 |
ดินสอ(สตรีวิทยา) |
|
17 |
ดินสอ(สตรีวิทยา) |
|
18 |
ดินสอ(สตรีวิทยา) |
|
7-8 พฤษภาคม 2553 |
||
19 |
อาคารซิลลิคเฮ้าส์ ถนนสีลม |
|
20 |
สวนลุมพินี |
|
13-19 พฤษภาคม 2553 |
||
21 |
สวนลุมพินี |
|
22 |
บ่อนไก่ พระราม 4 |
|
23 |
บ่อนไก่ พระราม 4 |
|
24 |
บ่อนไก่ พระราม 4 |
|
25 |
บ่อนไก่ พระราม 4 |
|
26 |
บ่อนไก่ พระราม 4 |
|
27 |
บ่อนไก่ พระราม 4 |
|
28 |
บ่อนไก่ พระราม 4 |
|
29 |
บ่อนไก่ พระราม 4 |
|
30 |
ทางเท้าหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาลุมพินี |
|
31 |
ซอยหลังสวน |
|
32 |
ราชดำริ |
|
33 |
ราชดำริ |
|
34 |
ราชดำริ |
|
35 |
ราชดำริ |
|
36 |
ราชปรารภ |
|
37 |
ราชปรารภ |
|
38 |
ราชปรารภ |
|
39 |
ราชปรารภ |
|
40 |
ราชปรารภ |
|
41 |
ราชปรารภ |
|
42 |
ราชปรารภ |
|
43 |
ราชปรารภ |
|
44 |
ราชปรารภ |
|
45 |
ราชปรารภ |
|
46 |
ราชปรารภ |
|
47 |
ราชปรารภ |
|
48 |
ราชปรารภ |
|
49 |
ราชปรารภ |
|
50 |
ราชปรารภ |
|
51 |
ราชปรารภ |
|
52 |
ราชปรารภ |
|
53 |
ราชปรารภ |
|
54 |
ราชปรารภ |
|
55 |
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ |
หมายเหตุ 1 – รายชื่อในตารางไม่นับรวมผู้เสียชีวิตในต่างจังหวัดอีก 3 ราย คือ 1.ทรงศักดิ์ ศรีหนองบัว ถูกยิงในการชุมนุมที่หน้าบ้านพัก ส.ส. ประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ จังหวัดขอนแก่น 2.เพิน วงศ์มา และ 3.อภิชาติ ระชีวะ ถูกยิงในเหตุการณ์การชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี และ 4. กิตติพงษ์ สมสุข ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เนื่องจากกำลังรอข้อมูลเพิ่มเติมจากทางกรมสอบสวนคดีพิเศษอยู่
หมายเหตุ 2 - รายชื่อในตารางไม่นับรวมผู้เสียชีวิตที่เป็นเหตุสืบเนื่องอีก 3 ราย ได้แก่ อนันท์ ชินสงคราม และมนต์ชัย แซ่จอง เป็นผู้เสียชีวิตที่คาดว่าเกิดจากแก๊สน้ำตาที่ถูกทิ้งจากเฮลิคอปเตอร์ในวันที่ 10 เม.ย.2553 เนื่องจากใบรับรองแพทย์ระบุสาเหตุการตายเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โดยมนต์ชัยเสียชีวิตในไม่กี่ชั่วโมงหลังถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ส่วนอนันท์เสียชีวิตด้วยโรคปอดติดเชื้อในอีกหลายเดือนให้หลังซึ่งมีการรักษามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หลังเหตุการณ์ ละอองดาว กลมกล่อม เป็นผู้เสียชีวิตจากเส้นเลือดในสมองแตกขณะเกิดเหตุชุลมุนที่แยกราชประสงค์ในวันที่ 14 พ.ค.