สปสช. นำร่องจัดสรร “หน่วยบริการ คนกรุง” เพิ่มเติม 18 แห่ง ครอบคลุมประชากรเพิ่มอีก 1.4 แสนราย 9 ธ.ค.นี้ เสนอบอร์ด สปสช.หนุน รพ.บริการฟอกไต ช่วยเหลือผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ขณะที่นโยบาย ‘โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม’ แนะสร้างความเข้าใจผู้ป่วย-วางระบบหลังบ้านให้ราบรื่น
สปสช.นำร่องจัดสรร “หน่วยบริการ คนกรุง” เพิ่มเติม 18 แห่ง ครอบคลุมประชากรเพิ่มอีก 1.4 แสนราย
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุ
ขณะเดียวกัน สปสช. ก็ได้ดำเนินการเชิญชวนคลินิ
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 สปสช.ได้ขึ้นทะเบียนคลินิกที่
โดย ประชาชนสามารถตรวจสอบหน่วยบริ
ทั้งนี้ สปสช.นำร่องดำเนินการลงทะเบี
นโยบาย ‘โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม’ แนะสร้างความเข้าใจผู้ป่วย-วางระบบหลังบ้านให้ราบรื่น
ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง (Thai Cancer Society) เปิดเผยว่า นโยบายยกระดับผู้ป่วยมะเร็งสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลที่รักษาโรคมะเร็งที่ไหนก็ได้ที่พร้อม หรือนโยบายโรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค. 2564 นับเป็นนโยบายที่ดี ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยได้มีทางเลือกในการรักษามากขึ้น และคุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้นได้จากการประหยัดเวลาในการเดินทาง ประหยัดเวลาในการรักษาเมื่อถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง
ศิรินทิพย์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในมุมมองของเครื่อข่ายผู้ป่วย เนื่องจากปัจจุบันการพัฒนาระบบได้มีการนำเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสแกนคิวอาร์โค้ด หรือระบบที่มุ่งสู่การเป็น Paperless มากขึ้น ดังนั้นสำหรับผู้ป่วยในต่างจังหวัดอีกจำนวนมาก ที่อาจยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี ไม่มีอุปกรณ์สมาร์ทโฟน หรือแม้แต่ทำโทรศัพท์หาย การไม่มีเอกสารอยู่ในมือจึงเป็นเรื่องน่ากังวลถึงการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
“แม้นโยบายจะรักษาทุกที่ก็จริง แต่เมื่อคนไข้ไปถึงแล้วปรากฏว่าระบบหลังบ้านไม่เชื่อมกัน ไม่มีข้อมูล ก็ทำให้คนไข้เสียเวลา ดังนั้นสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นคือการทำให้บัตรประชาชนใบเดียวสามารถสแกนแล้วมีการเก็บประวัติคนไข้ และเชื่อมต่อกันในระบบหลังบ้านได้ทุกโรงพยาบาล ไม่ว่าจะโรงพยาบาลต้นสังกัด หรือโรงพยาบาลที่รับส่งตัว ทำให้คนไข้ไม่ต้องถือเอกสารเยอะ และสามารถเข้ารับบริการที่ไหนก็ได้จริง” ศิรินทิพย์ กล่าว
ขณะเดียวกัน สิ่งที่อยากจะให้มีคือตัวกลางในการประสานงานหลัก เพื่อให้ระบบการส่งต่อสามารถเป็นไปได้อย่างราบรื่น โดยมีตัวกลางที่คอยจัดการเรื่องเหล่านี้ในแต่ละหน่วยบริการ เพื่อไม่เกิดความสับสนหรือเสียเวลาจากการติดต่อหลายแห่ง เนื่องจากนโยบายการรักษาทุกที่นั้นย่อมทำให้เกิดการไหลไปมาของผู้ป่วย ซึ่งอาจทำให้ขั้นตอนในกระบวนการรักษาช้าลงได้ หากเกิดความไม่เข้าใจในระบบบริหารจัดการ
ศิรินทิพย์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังจะต้องมีการสื่อสารกับผู้ป่วยให้ชัดเจนถึงนโยบายการรักษาทุกที่ ว่าไม่ได้เป็นไปเพื่อให้มุ่งไปยังโรงพยาบาลขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจทำให้เกิดความแออัด รอคอยคิวนานและทำให้มะเร็งลุกลามมากไปกว่าเดิมได้ แต่จะต้องปรับทัศนคติและความเชื่อของผู้ป่วยให้รับรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่หรือเล็กล้วนเป็นขั้นตอนเดียวกัน และการได้รับแผนการรักษาที่ดีก็ทำให้มะเร็งหายได้เช่นเดียวกัน
“นอกจากสื่อสารให้ชัดเจนกับคนไข้แล้ว รัฐบาลเองก็ต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่ามาตรฐานของการรักษาทุกที่ไม่แตกต่างกัน เพื่อที่จะทำให้ระบบไม่เหนื่อยไปยังใครคนใดคนหนึ่ง รวมถึงความเชื่อที่ว่ายานอกบัญชีรักษาได้ดีกว่ายาในบัญชีหลัก ก็ต้องให้ความรู้คนไข้ว่า ไม่ว่าจะยาอะไ ถ้ามีการปฏิบัติตัวที่ดี มีการดูแลดี ก็สามารถหายได้เหมือนกัน และอาจเพิ่มในเรื่องของการติดตามผลหลังการรักษา หรือการให้ความรู้เรื่องสิทธิการรักษาแก่คนไข้ด้วย” ศิรินทิพย์ กล่าว
9 ธ.ค.นี้ เสนอบอร์ด สปสช.หนุน รพ.บริการฟอกไต ช่วยเหลือผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ตามที่เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ยื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.)เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 63 ขอให้มีมาตรการส่งเสริมให้หน่วยบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (หน่วยไตเทียม) จัดบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (ฟอกไต) ให้กับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคติดเชื้ออื่น โดยไม่เลือกปฏิบัติ และหาแนวทางชดเชยค่าบริการฟอกไตที่เหมาะสมให้กับหน่วยบริการ สปสช. ได้รับมอบนโยบายในการเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะทำงานและคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น สาเหตุที่ทำให้หน่วยไตเทียมปฏิเสธการฟอกไตให้กับผู้ติดเชื้อ หรือมีการเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มจากผู้ป่วยจำนวน 2,500 - 3,500 บาท/ครั้ง เพิ่มเติมจากที่เรียกเก็บจาก สปสช. จำนวน 1,500 บาท/ครั้ง รวมเป็นค่าบริการ 4,000-5,500 บาท/ครั้ง เนื่องจากต้องเปลี่ยนตัวกรองทุกครั้งที่ให้บริการ ส่งผลให้ต้นทุนการบริการผู้ป่วยฟอกไตกลุ่มนี้สูงกว่าการให้บริการฟอกไตปกติ
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ คณะทำงานสนับสนุนการพัฒนาระบบบริการด้านโรคไตและการบำบัดทดแทนไตในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 63 ซึ่งคณะทำงานฯ ชุดนี้ ตระหนักต่อปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น จึงเห็นชอบให้มีการปรับอัตราการจ่ายชดเชยค่าบริการฟอกไตสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ติดเชื้อเอชไอวี เพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ป่วยก่อน ทั้งในส่วนต้นทุนบริการ (Fix cost) และต้นทุนส่วนที่เพิ่มที่เป็นค่าดำเนินการอื่น อาทิ ค่าแรง ค่าความเสี่ยง เป็นต้น พร้อมประสานสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยและสมาคมพยาบาลโรคไต ดำเนินการวิเคราะห์ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม รวมถึงการวางแนวทางให้บริการในระยะยาวต่อไป
ขณะที่ในการประชุมคณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารจัดการกองทุน เมื่อวันที่ 18 พ.ย.63 ได้หยิบยกเรื่องนี้เข้าสู่พิจารณาโดยเร่งด่วนเช่นกัน และเห็นชอบในหลักการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว เบื้องต้นมีมติให้ สปสช. จัดเตรียมงบประมาณปี 2564 สำหรับเป็นค่าบริการฟอกไตสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดเชื้ออื่นเฉพาะไม่เกิน 4,000 บาท/ครั้ง วงเงิน 20.75 ล้านบาท พร้อมให้พิจารณาเงื่อนไขในการรับบริการล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติ (APD) สำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ นอกจากนี้ให้ประสานคณะอนุกรรมการพัฒนาบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ เพื่อพิจารณาการพัฒนาระบบบริการฟอกไตสำหรับผู้ติดเชื้อให้เพียงพอต่อไป
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาเพื่อดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่เป็นผู้ติดเชื้อเบื้องต้นนี้ ทั้งข้อเสนอจากคณะอนุกรรมการกำหนัดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและบริหารจัดการกองทุน และคณะทำงานสนับสนุนการพัฒนาระบบบริการด้านโรคไตฯ จะนำเข้าสู่การพิจารณาที่ประชุมบอร์ด สปสช. ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาให้กับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีโดยเร็ว เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะเดียวกันยังเป็นการแก้ไขปัญหาทางการเงินให้กับผู้ป่วยจากการถูกจัดเก็บค่าบริการเพิ่มเติม โดยหลายคนต้องกู้ยืมจนเป็นหนี้เป็นสินและเดือนร้อน
“หลักการสำคัญของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คือการดูแลประชาชนทุกกลุ่มให้เข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุขที่จำเป็น ซึ่งกรณีของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่ผ่านมามีปัญหาในการเข้าถึงบริการจากค่าใช้จ่ายในการเข้ารับบริการฟอกไตที่ต้องจ่ายเพิ่มเติม ทำให้ผู้ป่วยเกิดปัญหาในการเข้ารับบริการ ดังนั้นเพื่อความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สปสช. จึงได้เร่งแก้ไขปัญหาเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และหลักการโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)