Skip to main content
sharethis

ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เผยความพร้อมรองรับนโยบาย "โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม" จัดเตรียมโปรแกรม-อบรมผู้ประสานงาน วางระบบบริการสู่การเดินหน้าพร้อมกันทั่วประเทศ 

17 ธ.ค.2563 ทีมสื่อ สปสช. รายงานว่า นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า นโยบายโรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้ที่พร้อม สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค. 2564 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งเข้าถึงบริการได้ดีขึ้น สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการที่ผู้ป่วยสามารถร่วมปรึกษากับแพทย์เจ้าของไข้เพื่อวางแผนร่วมกัน และเลือกโรงพยาบาลปลายทางที่จะถูกส่งต่อไปได้มากขึ้น 

นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ 

นพ.จินดา กล่าวว่า ในระบบบริการรูปแบบเดิม เมื่อผู้ป่วยมะเร็งไปรักษาบางครั้งจะต้องถูกส่งต่อจากโรงพยาบาลหนึ่ง ไปยังอีกโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า ซึ่งบางครั้งโรงพยาบาลปลายทางที่รับต่อก็อาจมีผู้ป่วยคับคั่ง แออัดเป็นคอขวด ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้ยาก แต่ด้วยนโยบายใหม่นี้ผู้ป่วยจะสามารถไปรักษาโรคมะเร็งได้ยังโรงพยาบาลทุกที่ที่มีความพร้อม ซึ่งจะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพการรักษา และเพิ่มการเข้าถึงได้ 

"จากเดิมโรงพยาบาลหมายเลข 1 ต้องไปโรงพยาบาลหมายเลข 2 ปัจจุบันโรงพยาบาลหมายเลข 1 จะสามารถเลือกไปโรงพยาบาล A ก็ได้ โรงพยาบาล B ก็ได้ โดยเงื่อนไขว่าโรงพยาบาลเหล่านั้นต้องมีความพร้อม เมื่อเป็นแบบนี้คนไข้ก็จะมีทางเลือกที่ดีขึ้น เช่น โรงพยาบาลไหนที่มีคิวสั้น โรงพยาบาลไหนที่มีศักยภาพพร้อม เขาก็จะเข้าถึงบริการได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ผลการรักษาของโรคดีขึ้นไปด้วย" นพ.จินดา กล่าว 

นพ.จินดา กล่าวว่า ประโยชน์อีกประการที่ผู้ป่วยจะได้รับ คือจากเดิมเมื่อผู้ป่วยถูกส่งตัวไปอีกโรงพยาบาล ก็จะต้องถือใบหนังสือส่งตัว หรือที่เรียกว่าใบ refer ซึ่งจะอธิบายประวัติรวมไปถึงสิทธิการรักษา แต่นโยบายใหม่นี้ผู้ป่วยจะสามารถไปรักษาได้โดยไม่ต้องมีใบดังกล่าว เพราะเอกสารข้อมูลผู้ป่วยจะถูกส่งต่อโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพียงถือบัตรประชาชนไปก็จะสามารถดึงข้อมูลจากระบบได้ นอกจากนี้หากผู้ป่วยมีสมาร์ทโฟนที่รองรับ ก็จะสามารถนำข้อมูลประวัติติดตัวไปเปิดที่ใดก็ได้ ทำให้ระบบการส่งตัวผู้ป่วยสะดวกและรวดเร็ว 

ทั้งนี้ ในส่วนบทบาทของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ คือการเป็นโรงพยาบาลที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่มีความยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งนโยบายนี้จะเพิ่มโอกาสที่ผู้ป่วยถูกส่งเข้ามารักษาที่สถาบันฯ มากขึ้น ขณะที่อีกบทบาทคือการเป็นศูนย์ศึกษาองค์ความรู้วิจัย สร้างนวัตกรรม ผลงานวิชาการ รวมไปถึงผลงานระบบบริการใหม่ๆ จึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนระบบจัดการ โดยเฉพาะเรื่องการส่งต่อผู้ป่วยให้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ 

สำหรับที่ผ่านมา สถาบันฯ ได้ประชุมร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โรงพยาบาลในพื้นที่เขตสุขภาพ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญฝ่ายต่างๆ เพื่อวางแผนการจัดรูปแบบการส่งต่อ ที่จะต้องไม่ให้เกิดความสับสน ซ้ำซ้อน และมีประสิทธิภาพดีที่สุด ซึ่งทางสถาบันฯ ได้มีการนำเสนอเครื่องมือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่จะช่วยในการส่งต่อข้อมูลให้สะดวกขึ้น เพื่อทดแทนหนังสือส่งตัวเดิม เช่น โปรแกรม Thai cancer base plus ซึ่งผู้ป่วยจะสามารถไปรักษาที่ไหนก็ได้ในโรงพยาบาลที่มีโปรแกรมนี้ 

ขณะเดียวกัน สถาบันฯ ยังได้พัฒนาโปรแกรมที่เรียกว่า The one program ที่โรงพยาบาลจะสามารถช่วยกันลงข้อมูลเพื่อให้เห็นศักยภาพในการให้บริการ เช่น การทำ CT เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าว่างอยู่หรือไม่ มีคิวว่างวันใด หรือการส่งฉายแสงรังสีรักษา เป็นต้น ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้ดีขึ้น เมื่อเห็นคิวที่ใดว่างก็จะสามารถแนะนำผู้ป่วยได้ว่าไปจุดใดที่จะเร็วกว่า 

นพ.จินดา กล่าวว่า นอกจากนี้สถาบันฯ ยังมีบทบาทสำคัญในการวางระบบกลไกของผู้ประสานงาน (coordinator) ซึ่งการมีผู้ประสานงานที่เข้าใจบริบท และใช้เครื่องมือต่างๆ ได้ จะทำให้การส่งต่อผู้ป่วยสะดวกยิ่งขึ้น โดยสถาบันฯ ได้ร่วมกับ สปสช. จัดอบรมหลักสูตรผู้ประสานงานขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นมีการจัดไปแล้ว 3 รุ่น รวม 360 คน เพื่อกระจายไปในทั่วประเทศและทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานให้ระบบเดินหน้าไปได้ และจะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ 

นพ.จินดา กล่าวอีกว่า ในส่วนของความพร้อมขณะนี้มีความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น ทั้งในส่วนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใกล้จะสำเร็จ และสามารถนำมาทดลองใช้เพื่อทดสอบระบบ หรือในส่วนของหลักสูตรอบรมผู้ประสานงาน ที่ภายหลังโปรแกรมสำเร็จก็จะมีการเปิดอบรมต่อทันที เพื่อเตรียมความพร้อมในวันที่ 1 ม.ค. 2564 และหลังจากนั้นก็จะมีการทบทวน และปรับปรุงพัฒนาไปเรื่อยๆ เพื่อทำให้ระบบสมบูรณ์มากที่สุด 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net