Skip to main content
sharethis

โฆษกพรรคก้าวไกล กังวลรัฐเหวี่ยงแห ม.112 ปรามประชาชน จี้ ตำรวจใช้ดุลพินิจแบบเคร่งครัดก่อนถูกมองเป็นผู้พักษ์ทรราช ส.ส. พรรคก้าวไกล ยื่นแก้กฎหมาย ‘ยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัย’ ย้ำ ไม่ใช่หนุนทำแท้ง แต่คือเปิดทางผู้หญิงให้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ปลอดภัย 

 

17 ธ.ค.2563 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานว่า ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงสถานการณ์การใช้กฎหมายมาตรา 112 ต่อผู้เข้าร่วมชุมนุมในขณะนี้ว่า รู้สึกกังวลใจเพราะเห็นชัดว่าเป็นการใช้กฎหมายในลักษณะเหวี่ยงแหและตีความกว้างขวางเกินตัวบทกฎหมาย ซึ่งเดิมทีการบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ก็มีปัญหาอยู่แล้ว เช่น ตีความครอบคลุมไปถึงการหมิ่นประมาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , การหมิ่นสุนัขทรงเลี้ยง,กรณีการชี้นิ้วขึ้นฟ้า,การแชร์บทความของสื่อมวลชนซึ่งสื่อต้นทางไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ แต่ผู้แชร์เพียงคนเดียวที่ถูกดำเนินคดี หรือคดีที่ยังมีความคลุมเครือที่รู้จักกันดีอย่างคดีอากง คดีเหล่านี้มีทั้งที่ถูกตัดสินว่าผิด สารภาพผิด ไม่สั่งฟ้อง หรือยกฟ้อง แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือหลายคดีถูกจำกุมคุมขังให้เสียอิสรภาพไปก่อนที่จะได้ต่อสู้คดีเสียด้วยซ้ำ

ณัฐชา ยังตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า การดำเนินคดีตามมาตรา 112 เป็นที่วิจารณ์มากในแง่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและถูกจับตาจากนานาชาติจนทำให้ไม่มีการใช้กฎหมายนี้มาระยะหนึ่ง กระทั่งมีการชุมนุมทางการเมืองของนักศึกษาและประชาชนอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้กฎหมายมาตรานี้ถูกนำมาใช้อีกครั้ง ที่น่าสังเกตคือ การดำเนินคดีในระลอกนี้ใช้การออกหมายเรียกมาก่อน ไม่ได้จับกุมคุมตัวทันทีเหมือนที่ผ่านมา อย่างไก็ตาม กฎหมายนี้ยังคงมีอัตราโทษสูงและเปิดโอกาสให้ตีความได้กว้างขวาง ทำให้ผู้ชุมนุมจำนวนมากถูกออกหมายเรียกและมีเยาวชนอยู่ในหมายเหล่านั้นด้วย ขณะที่ยังมีข้อเท็จจริงว่า หลายคนที่ถูกออกหมายเรียกดังกล่าวนั้นไม่ได้แม้แต่มีการแสดงความเห็น แสดงสัญลักษณ์ หรือขึ้นไปปราศรัยที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เลย ซึ่งในหมายเรียกให้เหตุผลว่า ‘ร่วมกัน’ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ฯ การแจ้งข้อกล่าวหาแบบนี้จึงไม่ปกติอย่างยิ่ง เพราะเป็นการขยายอำนาจเกินตัวบทของกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่จำเป็นต้องเป็นผู้กระทำเองเท่านั้น  

“กฎหมายที่มีอัตราโทษที่ร้ายแรงแบบนี้ ที่สำคัญคือดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ควรจะต้องตีความตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่ดูว่าชื่อไหนวิจารณ์รัฐบาลมากหรือแสดงออกมาก ก็รับแจ้งคดีร้ายแรงไว้ก่อน การดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่อย่างน้อยที่สุดคือไม่ควรตีความไปเกินตัวบทของกฎหมาย ต้องคำนึงถึงพยานหลักฐานที่ชัดเจน และไม่ควรเป็นกฎหมายที่ใครก็ฟ้องได้ เวลานี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือภาพของนักกิจกรรมที่ต้องเดินเข้าออกโรงพักกันเป็นว่าเล่น นั่นจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมจึงมีข้อเสนอแก้ไขกฎหมายนี้ในเรื่องการกำหนดให้มีหน่วยงานแทนพระองค์เป็นผู้ฟ้องร้องที่ชัดเจน

“การกระทำหว่านแหและกว้างขวางระยะนี้ยังต้องตั้งคำถามไปถึงรัฐบาลด้วยว่ากำลังใช้กฎหมายมาตรา 112 เพื่อกลั่นแกล้งผู้ชุมนุมและใช้เป็นเกราะกำบังตัวเอง เพื่อเบี่ยงประเด็นความล้มเหลวด้านต่างๆของรัฐบาลและกระแสเรียกร้องให้ ประยุทธ์ออกไปหรือไม่ นอกจากนี้ ขอฝากย้ำไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้งว่า การใช้ดุลพินิจเพื่อดำเนินคดีควรจะต้องเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย อย่าทำให้ประชาชนมีข้อกังขาต่อกระบวนการยุติธรรม ขอให้คำนึงว่า ท่านคือผู้ดำรงไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มิใช่เป็นผู้พิทักษ์ทรราชอย่างนี้”  โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าว

ยื่นแก้กฎหมาย ‘ยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัย’ ย้ำ ไม่ใช่หนุนทำแท้ง แต่คือเปิดทางผู้หญิงให้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ปลอดภัย

วันเดียวกัน ณัฐวุฒิ บัวประชุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงความคืบหน้ารายงานข้อมูลจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา มีผู้ป่วยจากการทำแท้งไม่ปลอดภัย 27,000 - 32,000 รายต่อปี โดยในจำนวนนี้เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 20 - 35 ราย ต่อมา เมื่อเริ่มเปิดสายปรึกษาท้องไม่พร้อม 1663 และพัฒนาเครือข่ายส่งต่อที่ปลอดภัย พบว่าในช่วงปี พ.ศ. 2559 - 2562 การบาดเจ็บจากการทำแท้งไม่ปลอดภัยลดลงเหลือ 20,000 - 23,000 รายต่อปี และมีการเสียชีวิตไม่ถึง 10 รายต่อปี  ในขณะที่เครือข่ายส่งต่อและแพทย์อาสาให้บริการยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัยได้ให้ความช่วยเหลือสตรีอย่าง 360 องศา ตั้งแต่การปรึกษาทางเลือก การยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัย ตลอดจนการติดตามผล รวมถึงแพทย์อาสาที่เข้าร่วมโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงทำงานเพื่อความปลอดภัยให้กับผู้หญิง 

จนกระทั่ง ศรีสมัย เชื้อชาติ ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และเป็นแพทย์ในเครือข่ายแพทย์อาสาเพื่อยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามกฎหมาย ถูกดำเนินคดีความผิดฐานทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ทำให้การช่วยเหลือสตรีกลายเป็นเรื่องยากลำบาก ทำให้สตรีถูกบีบบังคับให้เข้าสู่การทำแท้งเถื่อน เนื่องจากไม่มีหมอให้บริการเพราะกลัวคดี จากนั้นจึงได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญาความผิดฐานทำแท้งนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้มีการวินิจฉัยโดยศาลรัฐธรรมนูญว่า ประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ  โดยกฎหมายดังกล่าวควรยกเลิกหรือปรับแก้ให้สอดรับกับสถานการณ์ปัญหาสังคมในปัจจุบัน และเพื่อความปลอดภัยของบุคคลที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย  จึงมาถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งต้องพิจารณาและแก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวภายใน 360 วัน โดยในวันนี้กฎหมายดังกล่าวก็ได้ผ่าน ครม. มาแล้ว 
จากการทำงานในสภา ตนและ ส.ส. ธัญวัจน์ ได้ติดตามประเด็นดังกล่าวทั้งในคณะกรรมาธิการ ตลอดจนการหารือเกี่ยวกับร่างของ ค.ร.ม. นั้นว่า ‘อาจไม่แก้ปัญหา’ ได้จริง 

ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส. พรรคก้าวไกลจึงขอยื่นร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ... ประกบกับร่างของ ค.ร.ม. โดยพรรคก้าวไกลเชื่อว่าร่างของพรรคเรานั้นจะนำพาสตรีสู่การยุติการตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัยและสอดรับกับสถานการณ์ความเป็นจริงได้มากกว่า ซึ่งการยื่นร่างกายกฎหมายในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้เกิดการทำแท้ง แต่เป็นการส่งเสริมให้สตรีได้เข้ารับบริการทางการแพทย์อย่างปลอดภัย 

“ไม่มีมีสตรีคนไหนเกิดมาแล้วอยากทำแท้ง” ธัญวัจน์ จึงร้องขอต่อสื่อมวลชนทุกท่านให้เข้าใจและไม่อยากเกิดความเข้าใจผิดถึงวัตถุประสงค์อันดีนี้ ขอฝากทุก ๆ ท่านด้วย เพราะนี่คือความเดือดร้อนของผู้หญิงที่ถูกสังคมตัดสินและซ้ำเติมมาอย่างยาวนาน ทำให้พวกเธอบอบช้ำทั้งกายและจิตใจซึ่งยากที่จะเยียวยาให้กลับคืนมา 

การที่ผู้หญิงคนนึงเลือกและตัดสินใจในการกระทำนี้ ธัญวัจน์ เชื่อว่านี่คือทางสุดท้ายที่เขาเลือกแล้ว โดยเขาจะต้องผ่านผ่านทั้งปัญหาภายในครอบครัว การถูกตีตราจากสังคม และทัศนะในเรื่องบาปบุญ ที่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจสตรีทั้งหลายเป็นอย่างมาก ดังนั้น เมื่อเขาได้ตัดสินใจแล้ว เราจึงไม่ควรไปตัดสินเขา แต่เราควรที่จะให้ความช่วยเหลือและเยียวยาจิตใจเขาเหล่านั้นให้ผ่านพ้นปัญหาและกลับมาเป็นประชากรที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป จึงขอยืนร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวฝากผ่านทาง ท่านสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาโดยสภาฯ ต่อไป

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net