Skip to main content
sharethis

ครบรอบ 10 ปี “ข้อกำหนดกรุงเทพ” TIJ เดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังหญิง ผลักดันโครงการ “ Every Steps Together: ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว” ระดมความร่วมมือจากสังคมให้โอกาสผู้ก้าวพลาดเข้าสู่ตลาดแรงงานองค์กรภาครัฐ-เอกชนกว่า 30 องค์กร ร่วมประกาศเจตจำนงร่วมสนับสนุนเต็มที่ ให้ผู้พ้นโทษเริ่มต้นชีวิตใหม่ ปิดทางการกระทำผิดซ้ำ แก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำอย่างยั่งยืน  

 

21 ธ.ค.2563 Move PR รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)  จัดเวทีเสนอนวัตกรรมทางความคิดเพื่อสร้างกลไกความช่วยเหลือผู้ก้าวพลาด  ย้ำการให้ "โอกาส" จากสังคมคือสิ่งสำคัญที่สุด เปิดมิติใหม่ฝึกอาชีพให้ผู้ก้าวพลาดสู่โลกดิจิทัล ให้ก้าวทันโลกยุคใหม่พร้อมทำงาน-ประกอบอาขีพเลี้ยงดูตัวเอง/ครอบครัวได้

รู้จัก “ข้อกำหนดกรุงเทพ”

“ข้อกำหนดกรุงเทพ” คือ ข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำและมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา หรือพระองค์ภาฯ ทรงศึกษาเรื่องนี้และทรงร่วมกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยผลักดัน “ข้อกำหนดกรุงเทพ” (Bangkok Rules)  กระทั่งได้รับการรับรองจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2553  และให้เกียรติประเทศไทยโดยใช้ชื่อเมืองหลวงประเทศไทยเป็นชื่อเรียกขาน  ถือเป็นข้อกำหนดแรกของไทยในเวทีสหประชาชาติอันเป็นสากลและทั่วโลกยอมรับ

ปี 2563 ถือเป็นการครบรอบ 10 ปี การรับรองข้อกำหนดกรุงเทพ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อมุ่งยกระดับมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงและผู้กระทำผิดหญิง ให้มีความเหมาะสมด้านเพศสภาพมากยิ่งขึ้น ตรงตามความต้องการเฉพาะด้านสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้หญิง และของเด็กติดผู้ต้องขัง ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) หน่วยงานภายใต้กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ มีส่วนสำคัญในการร่วมกันผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม

ประเทศไทยกับวงจร “การกระทำผิดซ้ำ” และ ปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำ

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ต้องขังทั่วประเทศกว่า 348,809 คน (ตุลาคม 2563) ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลตลอดระยะเวลากว่า 50ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆปีตั้งแต่ปี 2549  สูงเป็นอันดับ 6 ของโลก และอันดับ 1 ของภูมิภาคอาเซียน มีปริมาณผู้ต้องขังสูงเกือบเทียบเท่ากับประเทศที่มีประชากรมากกว่าประเทศไทยหลายเท่า เช่น อเมริกา จีน อินเดีย และ อินโดนีเซีย เป็นต้น

ขณะที่เรือนจำของประเทศไทยออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ต้องขังเพียงแค่ประมาณ 200,000 คนเท่านั้น สะท้อนว่ามีจำนวนผู้ต้องขังเกินกว่าความจุเกือบเท่าตัว  ส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องขังคดียาเสพติด (79%) และคดีเกี่ยวข้องกับทรัพย์ (11%) เป็นผู้หญิงกว่า 44,000 คน ผู้ชายกว่า 300,000 คน โดยในแต่ละปีจะมีผู้พ้นโทษออกมากว่า 200,000 คน แต่ภายใน 1 ปีแรกของการพ้นโทษ กว่า 15% หรือ 30,000 คน จะกระทำผิดซ้ำทันที และภายในปีที่ 3 หลังการพ้นโทษ ยอดผู้กระทำผิดซ้ำรวมจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 32% หรือ 64,000 คน 

จากการวิจัยของ The Manhattan Institute ซึ่งสำรวจผู้พ้นโทษในประเทศสหรัฐอเมริกาพบกว่าผู้ที่ทำความผิดในคดีลหุโทษ (non-violent offenders) หากสามารถหาอาชีพได้หลังการพ้นโทษในปีแรก จะลดโอกาสการกระทำผิดซ้ำได้ถึง 20%   

สำหรับประเทศไทย กว่า 70% ของผู้พ้นโทษ เป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่อยู่ในช่วงอายุ 21-40 ปี และจากการสำรวจของ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ที่มีการสำรวจความต้องการของผู้ต้องขังหญิงหลังการพ้นโทษ พบว่า 21.2% มองว่า “การหาอาชีพ” เป็นเรื่องที่ต้องการได้รับการสนับสนุนมากที่สุด

เดินหน้าฝึกอบรมผู้ก้าวพลาดสู่ตลาดแรงงานและเป็นผู้ประกอบการรายจิ๋ว

ด้วยเหตุนี้ TIJ และเครือข่ายจึงได้มีความพยายามอย่างต่อเนื่อง ในการให้ผู้ต้องหญิงได้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพสุจริต ลดโอกาสการกระทำผิดซ้ำ และพร้อมสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังการพ้นโทษ  โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมกับภาคราชการในการยกระดับขีดความสามารถของผู้ต้องขังหญิง พร้อมสร้างความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ ภายใต้โครงการ “Every Step Together ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว” ด้วยการสร้าง “ระบบนิเวศธุรกิจ” ที่จะส่งเสริมให้ผู้ต้องขัง และอดีตผู้ต้องขังหญิงมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากที่สุดในการค้นหาและเริ่มต้นอาชีพหลังการพ้นโทษ ซึ่งรวมถึงการสร้างแรงจูงใจ และหลักประกันให้กับภาคธุรกิจที่พร้อมให้การสนับสนุนด้วย  

โดยแบ่งเป็น 1. การส่งเสริมอดีตผู้ต้องขังหญิงสู่ตลาดแรงงานภายในระบบ  ด้วย การฝึกอบรม (Training) อาชีพที่ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบัน  โดยกรมราชทัณฑ์ได้จัดตั้ง ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ (CARE : Center for Assistance to Reintegration and Employment) โดยร่วมมือกับภาคเอกชนให้มีการฝึกทักษะทั้งภายในเรือนจำ และภายในสถานประกอบการ ไปจนถึงการรับลงทะเบียนและบริการจัดหางานให้แก่ผู้พ้นโทษ  ทั้งนี้ภายใต้การเติบโตของยุคดิจิทัลและเทคโนโลยีและความท้าทายของสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เรือนจำต้องปรับโปรแกรมการฝึกอาชีพให้เข้ากับลักษณะตลาดที่เปลี่ยนไป โดยมุ่งเน้นมาที่งานเกี่ยวกับดิจิทัล (Digital Employability) มากขึ้น เช่น แนวทางการสร้าง Content ทางออนไลน์  การใช้ platform delivery  และ แนวทางการโปรโมทสินค้าออนไลน์ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีการสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ประกอบการ (Incentivize)  เพื่อให้มีการจัดจ้างผู้พ้นโทษเข้าทำงาน ได้แก่  มาตรการทางภาษี ปัจจุบันได้มีการอนุมัติมาตรการยกเว้นภาษีนิติบุคคลแก่บริษัทที่รับผู้พ้นโทษเข้าทำงาน

2. การส่งเสริมให้เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดจิ๋ว (Micro entrepreneurship) ซึ่งเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจอาหารทางออนไลน์ ในช่วงโควิด-19 ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาปกติถึง 20 - 30% (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย) TIJ จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กรมราชทัณฑ์ โครงการกำลังใจในพระดำริฯ ริเริ่มโครงการ Street Food Academy  ด้วยการออกแบบรถเข็นที่เชื่อมโยงกับนวัตกรรม Online Platform สามารถเข้าสู่ตลาดออนไลน์ได้  ให้แก่อดีตผู้ต้องขังที่ผ่านการคัดเลือกและมีความพร้อมที่จะเริ่มต้นธุรกิจอาหารริมทาง โดยมีการให้ความรู้ทั้งด้านสูตรอาหารและความรู้ในการเป็นผู้ประกอบการเจ้าของธุรกิจขนาดจิ๋ว และขนาดเล็ก ได้ด้วยตนเอง

โดยภายในงานยังได้มีพิธีแสดงเจตจำนงร่วมกันระหว่างผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการสร้างโอกาสเพื่อการกลับสู่สังคมแก่อดีตผู้ต้องขังมากกว่า 30 องค์กร ที่ร่วมสนับสนุนโครงการ “ Every Steps Together: ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว” อย่างเต็มที่ เพื่อให้โอกาสผู้พ้นโทษเข้าสู่ตลาดแรงงานในรูปต่างๆ ได้แก่ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเพื่อส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับผู้พ้นโทษ การร่วมสนับสนุนสินค้าและบริการจากผู้ต้องขังและอดีตผู้ต้องขัง การสนับสนุนเงินทุนเพื่อส่งเสริมการสร้างทักษะและการเริ่มต้นใหม่หลังการพ้นโทษ  การมีส่วนร่วมในจัดกิจกรรมฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพผู้ใกล้พ้นโทษ การปรับนโยบายด้านทรัพยากรบุคคลให้เปิดกว้างต่อการรับผู้พ้นโทษเข้าทำงาน และ การดำเนินการจ้างงานผู้พ้นโทษ โดยเห็นตรงกันว่า กลุ่มคนเหล่านี้คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญที่สามารถมาช่วยกันพัฒนาประเทศได้

กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)

ผลักดันการสร้างนวัตกรรมในเรือนจำสร้างสังคมปลอดภัย

ศาสตราจารย์พิเศษ กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวว่า การจัดงานครบรอบ 10 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพครั้งนี้  เราได้จัดทำโครงการ “ Every Steps Together: ก้าวที่ไม่โดดเดี่ยว” เพื่อระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมให้ “โอกาส” ให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษกลับคืนสู่สังคมอย่างมีคุณภาพและสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมีปัญหาผู้พ้นโทษกระทำผิดซ้ำสูงมาก ซึ่งต้องมีการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน  เพราะการกระทำผิดซ้ำไม่เพียงแต่ส่งผลให้เกิดความแออัดในเรือนจำ ซึ่งจะเป็นวิกฤตสำคัญในยุคโควิด 19 เท่านั้น แต่การกระทำผิดซ้ำยังทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส ในด้านทรัพยากรบุคคลที่พ้นโทษมาร่วมพัฒนาสังคม/ประเทศ  ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกสังคมไทยมองข้ามและไม่มีการให้พื้นที่/โอกาส ในการประกอบอาชีพและเข้าสู่ตลาดแรงงานของผู้พ้นโทษ ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างเพียงพอ ทำให้ผู้พ้นโทษจำนวนมาก ไม่มีที่ไป ไม่ได้รับการยอมรับ จนต้องกลับสู่วงจรชีวิตเดิมๆและกระทำผิดซ้ำกลับสู่เรือนจำอีก

“สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักถึงกันในวันนี้คือ เรื่องการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคมที่ปลอดภัย ด้วยการให้ผู้ที่ก้าวพลาดที่มีความสำนึกผิดและกลับตัวเป็นคนดีที่พร้อมเป็นพลังให้กับสังคมได้รับโอกาสนี้จากสังคมอีกครั้ง   ดังนั้น  โจทย์ของเราในการครบรอบ10 ปี ข้อกำหนดกรุงเทพฯ ในวันนี้ คือ เราจะสร้างส่งเสริมนวัตกรรมในการช่วยเหลือผู้ต้องขังในการกลับสู่สังคมอย่างมีคุณภาพได้อย่างไร  ซึ่งเราทราบกันดีว่าเรือนจำเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัด และยังมีความไม่เท่าเทียม เราต้องการนวัตกรรม ซึ่งคำนี้ไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งประดิษฐ์ แต่ยังหมายถึงแนวคิดที่จะนำมาสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นด้วย ” ศาสตราจารย์พิเศษ กิตติพงษ์ กล่าว

ผู้อำนวยการ TIJ กล่าวต่อว่า การที่จะไปถึงตรงนั้นได้ ต้องเริ่มจากการปรับ Mindset ของผู้ต้องขังและคนในสังคมว่าเรือนจำที่ไม่ได้ไว้เพียงเพื่อการคุมขัง แต่เป็น “พื้นที่สร้างโอกาส” ให้คนนับหนึ่งใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องเข้าใจร่วมกัน  โดยเฉพาะในการให้โอกาสในการทำงานเลี้ยงชีพและครอบครัว  ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พ้นโทษต้องการมากที่สุด และคนที่จะให้ได้คือ คนในสังคมนั่นเอง  เพราะเรื่อง “ความยุติธรรมเป็นเรื่องของคนทุกคน” ( Justice is everyone matter)และคนทุกคนคือทรัพยากร “เราสามารถเปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง” สร้างสังคมที่มีความปลอดภัยอยู่ร่วมกันได้ 

ชวนสังคมสร้าง “ต้นทุนชีวิต” ให้ผู้ก้าวพลาด/ผู้พ้นโทษ

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า การให้โอกาสผู้พ้นโทษเป็นสิ่งที่สังคมต้องเรียนรู้และร่วมมือกัน  เราทุกคนต้องร่วมสร้างต้นทุนชีวิตให้แก่ผู้พ้นโทษ ให้เขารู้สึกมีความภาคภูมิใจในตัวเอง มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ภูมิใจในหน้าที่การงาน  และที่สำคัญคือให้เขารู้สึกว่าชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าและมีความหมาย ต้องรู้สึกหวงแหน ให้เขามีเป้าหมายในชีวิต รู้สึกว่าเขามีอะไรเขามีต้นทุนชีวิต และยอมไม่ได้ที่จะเสียมันไป นี่คือหัวใจสำคัญที่เราทุกคนในสังคมต้องรู้สึกร่วมและเห็นอกเห็นใจกัน (Empathy)   เพราะที่ผ่านมาเราพบว่าผู้พ้นโทษจำนวนมาก ไม่สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้เลยถ้าสังคมไม่ให้โอกาส   ทำให้ผู้พ้นโทษส่วนใหญ่ต้องกลับไปกระทำผิดซ้ำต้องโทษอีกครั้ง เพราะเขารู้สึกว่า "เขาไม่มีต้นทุนชีวิต" แบบที่เราทุกคนมี

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ

"เรื่องนี้เป็นความท้าทายความคิดและการรับรู้ (Mindset and Perception) ของพวกเราทุกคน ในการกล้าที่จะให้โอกาส ผู้พ้นโทษเหล่านี้ กลับมามีที่ยืนในสังคมได้  เราต้องช่วยกัน ต้องเปลี่ยนความรู้สึกและสายตาที่เรามองพวกเขาให้เหมือนมองคนปกติทั่วไป เพราะคนเหล่านี้ต้องการมีเพียงแค่โอกาสในการเริ่มชีวิตใหม่เท่านั้น และคำตอบนั้นขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน ว่าเราอยากเห็นคนดีเพิ่มในสังคม หรือเห็นคนกระทำผิดซ้ำกลับไปต้องโทษในเรือนจำอีก"

ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าวต่อว่า อยากให้เราทุกคนเห็นภาพตรงกันว่า ผู้พ้นโทษต้องเผชิญด่านสำคัญในเรื่องการสมัครงาน ซึ่งมักจะมีการถามประวัติและคงมีไม่กี่แห่งที่จะให้โอกาส อีกทั้งการจะเป็นผู้ประกอบการก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องมีทุนในระดับหนึ่ง ดังนั้น เมื่อไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีโอกาส  ไม่มีเกียรติ ก็ไม่มีทางออก และ กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ค้ายา เสพยา ติดคุกใหม่ เพราะไม่มีอะไรต้องเสีย  นี่คือวงจรและความจริง ที่เราทุกคนควรเห็นร่วมกันว่า เราทุกคนในสังคมมีส่วนสำคัญที่จะปิดและอุดช่องว่างในวงจรนี้ ด้วยการให้โอกาสกับผู้พ้นโทษ ให้สามารถตั้งหลักใหม่กับชีวิตได้

ชี้โอกาสให้ผู้ก้าวพลาดใช้ทักษะความเป็นมนุษย์ฝึกฝน AI

จรัล งามวิโรจน์เจริญ Chief Data Scientist & VP of Data Innovation Lab บริษัทเซอร์ทิส   กล่าวว่า  ในฐานะที่ทำงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมานานและได้ทราบถึงความยากลำบากของผู้ก้าวพลาดที่พ้นโทษในการหางานทำ  ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะสังคมไทยยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการให้โอกาสผู้พ้นโทษมากนัก  ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และทำความเข้าใจกันและกัน   อย่างไรก็ตามเป็นที่น่ายินดีว่า เมื่อโลกของเราได้ก้าวสู่ยุุคดิจิทัล งานจำนวนมากสามารถทำผ่านออนไลน์และทำงานอยู่เบื้องหลังและทำได้ทุกที่ อีกทั้งงานที่เป็นงานซ้ำๆ (Routine)ในปัจจุบันกำลังถูกแทนที่ด้วย AI ( Artificial Intelligence) ซึ่งกว่า AI จะฉลาดและทำงานเองได้ ต้องอาศัยการฝึกฝน (Training) จากมนุษย์ (Human Supervise) โดยเฉพาะในงานด้านกระบวนการประมวลผลทางภาษาให้เป็นธรรมชาติ (Natural Language Processing :NLP) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้พ้นโทษทำได้

 "AI ไม่สามารถแยกแยะอารมณ์ของภาษาด้านบวกด้านลบด้วยตัวเองได้ และต้องการสอนจากมนุษย์ (Label Data) ซึ่งงานดังกล่าวเป็นงานที่เหมาะกับผู้พ้นโทษ เพราะสามารถทำได้จากทุกที่ทางออนไลน์ เป็นงานเบื้องหลังที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยประวัติและตัวตน ทั้งนี้ไม่ว่า AI จะเติบโตมากแค่ไหน  แต่มนุษย์ก็ยังมีทักษะที่เป็นจุดแข็งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ นั่นก็คือ ทักษะการสื่อสาร (Communication) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และความเห็นอกเห็นใจ  (Empathy) ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนทำได้ และมีอยู่ในตัวอยู่แล้ว รวมถึงผู้พ้นโทษด้วย ขอเพียงแค่ให้โอกาสพวกเขาเท่านั้น" จรัล กล่าว 

ทั้งนี้ภายในงานยังมีการเสนอแนวทางและนวัตกรรม การสร้างโอกาสจากธุรกิจระดับชุมชน  โดย จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และ การสร้างกลไกทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการเปิดโอกาสให้ผู้พ้นโทษ โดย เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง รวมถึง การสร้างนวัตกรรมและเครื่องมือทางการเงินและแหล่งทุนสำหรับนวัตกรรมทางสังคมสำหรับผู้พ้นโทษ โดย รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต)

นอกจากนี้ยังได้มีการจัดนิทรรศการประสบการณ์จริง (Experiential Exhibition) ที่เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชมเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางใหม่ในการฝึกทักษะแก่ผู้ต้องขังหญิงในปัจจุบัน และการออกร้านโดยกลุ่มธุรกิจภาคสังคมและผู้พ้นโทษคู่ขนานกับกิจกรรมในห้องประชุม  พร้อมทั้งมีการจัด  Mini workshop  การฝึกอาชีพสมัยใหม่เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ใกล้พ้นโทษ 1. สร้างอาชีพ YouTuber ด้วยมือถือเครื่องเดียว โดย ครูแม่อาย YouTuber เงินล้าน 2. เทคนิคการเปิดร้านบนแอปสั่งอาหาร โดย Robinhood 3. การโปรโมทสินค้าให้ติดตลาดออนไลน์ โดย ดีแทคเน็ตอาสา  พร้อม Mini Concert จาก นนท์ ธนนท์ The Voice ด้วย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net