ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง 3 เสื้อแดง คดีปาระเบิดฆ่าพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมและเพื่อนทหาร เมื่อ 10 เม.ย.53 ศาลระบุประจักษ์พยานที่โจทก์อ้างถูกจูงใจระหว่างอยู่ในการคุ้มครองพยานไม่น่าเชื่อถือ อีกทั้งยังเป็นการฟ้องซ้อนในคดีที่จำเลยที่ 1 และ 3 เคยถูกฟ้องแล้วคดีนี้จึงต้องห้ามฟ้องตามป.วิ แพ่ง ม. 173

แฟ้มภาพ ภาพคนเสื้อแดงที่ยังอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในเช้าวันที่ 11 เม.ย.2553

10.00 น. 1 ก.พ.2564 ศาลอาญา รัชดาภิเษก มีนัดฟังคำพิพากษาคดีปาระเบิดใส่ทหารที่สตรีวิทยา ในคืน 10 เม.ย.2553 ที่มีจำเลย 3 คน ได้แก่ สุขเสก หรือเสก พลตื้อ, พรกมล บัวฉัตรขาว หรือกนกพร ศิริพรรณาภิรัตน์ อดีตผู้ดำเนินรายการทีวีสถานีประชาชน ช่องเอเชียอัพเดต และสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ

คดีนี้อัยการฟ้องพวกเขาตามฐานความผิดฐาน ร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์สินผู้อื่น จนเป็นเหตุบุคคลถึงแก่ความตาย และร่วมกันสนับสนุนฆ่าและพยายามผู้อื่นซึ่งเป็นเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ผู้ใดทำ ซื้อ มี ใช้ หรือนำเข้าอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ , ร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดฯ

โดยฟ้องระบุพฤติการณ์ว่าจำเลยที่ 1 และ 3 ร่วมกันก่อเหตุระเบิดที่ถนนดินสอบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาจนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารจำนวน 5 นายเสียชีวิต ประกอบด้วย พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (หรือ เสธ.เปา) อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ , ส.ท.ภูริวัฒณ์ ประพันธ์ , ส.ท.อนุพงศ์ เมืองอำพัน , ส.อ.อนุพนธ์ หอมมาลี และพลทหารสิงหา อ่อนทรง (ยศ-ตำแหน่งขณะเกิดเหตุ) และยังมีเจ้าหน้าที่ทหารอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บ พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ. , พ.อ.ธรรมนูญ วิถี , ส.อ.กษิดิษฐ์ บัวสุข (ยศ-ตำแหน่งขณะเกิดเหตุ) เกิดที่แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กทม. และ ต.ทรงคนอง อ.สามพราน จ.นครปฐม เกี่ยวพันกัน โดยมีจำเลยที่สอง

คำพิพากษาสรุปได้ว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากระเบิดชนิดขว้างแบบเอ็ม 67(แบบ 88) โดยทราบได้จากผลจากการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดของกองพิสูจน์หลักฐาน แม้ว่าเบื้องต้นจะมีการรายงานจากทหารในพื้นที่เกิดเหตุและพยานทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์จะเข้าใจว่าเป็นระเบิดชนิดเอ็ม 79 ก็ตาม โดยโยนมาจากบริเวณในบ้านด้านตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา

ส่วนในประเด็นสุขเสก จำเลยที่ 1 และสุรชัยจำเลยที่ 3เป็นผู้ก่อเหตุโยนระเบิดโดยมีพรกมลจำเลยที่ 2 เป็นคนสนับสนุนในการก่อเหตุหรือไม่นั้น ศาลเห็นว่าประจักษ์พยานของโจทก์ไม่น่าเชื่อถือเนื่องจากให้การกลับไปกลับมาและเป็นพยานที่ได้รับการคุ้มครองพยานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษภายหลังเกิดเหตุถึง 7 ปี

อีกทั้งทนายความจำเลยถามค้านประจักษ์พยานของโจทก์ พยานซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ติดตามจำเลยที่สามและเห็นเหตุการณ์ที่จำเลยที่สามนำระเบิดไปบริเวณที่เกิดเหตุและจำเลยที่ 1 ขว้างระเบิด แต่พยานของโจทก์กลับไม่รู้จักแกนนำ นปช. ไม่ทราบว่าพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลเสียชีวิตเมื่อไหร่ ไม่ทราบจุดประสงค์ของการชุมนุม อีกทั้งไม่มีเบอร์ติดต่อกันกับจำเลยที่ 3 สำหรับพูดคุย จึงไม่สามารถเชื่อได้ว่าจำเลยจะให้ประจักษ์พยานมาเป็นผู้ติดตาม

ศาลเห็นว่าประจักษ์พยานที่โจทก์อ้างนั้นเชื่อได้ว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ อีกทั้งได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการเข้าโครงการคุ้มครองพยาน คำให้การของพยานโจทก์จึงไม่น่าเชื่อถือพอที่จะพิจารณาว่าจำเลยที่ 1-3 ได้กระทำความผิดตามฟ้อง

ศาลยังพิจารณาแล้วเห็นว่าการฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้อนในคดีที่จำเลยที่ 1 และ 3 เคยถูกฟ้องแล้วในคดีก่อการร้ายในหมายเลขคดีดำที่ 2542/2553 (คดีที่แกนนำ นปช.ถูกดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายซึ่งมีสุขเสกและสุรชัยเป็นจำเลยในคดีด้วย) ซึ่งเหตุที่มีการฟ้องร้องในคดีนี้เป็นเหตุเดียวกับคดีดังกล่าวจึงต้องวินิจฉัยทั้งสองคดีไปในคราวเดียวกันและคดีดังกล่าวศาลยังอยู่ในระหว่างพิจารณาคดี คดีนี้จึงเป็นคดีต้องห้ามฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีความแพ่ง มาตรา 173 วรรค 2 ประกอบมาตรา 15

วิญญัติ ชาติมนตรี

วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) ที่ให้ความช่วยเหลือทางคดีให้สัมภาษณ์ว่าสุขเสกจำเลยที่ 1 และสุรชัย จำเลยที่ 3 เป็นจำเลยในคดีก่อการร้ายตั้งแต่ปี 53 มาก่อนแล้วซึ่งศาลยกฟ้องแล้วและกำลังต่อสู้กันอยู่ในศาลสูงอยู่ ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้สนับสนุนไม่ใช่การ์ดและลูกน้องเสธ.แดง ที่ศาลพิจารณายกฟ้องมีอยู่ 3 ประเด็นทั้งในประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

ประเด็นแรกศาลพิจารณาว่าเป็นระเบิดชนิดใดและที่ใด มีพยานก็อ้างว่ามีการโยนระเบิดมาจากบ้านไม้ตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทแต่ว่าการโยนนั้นไม่มีประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือระบุได้ว่าคนโยนเป็นจำเลยทั้งที่ 1 และ 2 ในคดี พยานที่โจทก์อ้างก็เป็นพยานที่มีพิรุธ

ประเด็นที่สองไม่มีพยานที่ยืนยันได้ว่าจำเลยที่ 1 และ 3 อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่ศาลก็ไม่ได้ปฏิเสธถึงการเสียชีวิตของพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม แต่จากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ระบุว่าระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นประเภทขว้างเอ็ม 67 ไม่ใช่ เอ็ม 79 และอีกทั้งหลังเกิดเหตุมีชาย 4-5 คนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่เข้าไปในที่เกิดเหตุแล้วเก็บกระเดื่องของระเบิดไป แต่ก็มีคำถามว่าแล้วพยานหลักฐานชิ้นนี้อยู่ที่ไหน

ประเด็นที่สามคือ ศาลมองว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อการร้ายที่ศาลชั้นต้นเคยมีคำพิพากษามาแล้วและอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลสูง การฟ้องนี้จึงเป็นฟ้องที่ต้องห้ามตามประมวลวิธีพิจารณากฎหมายแพ่ง มาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15

วิญญัติกล่าวว่าสุขเสกและสุรชัย ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวในวันนี้เนื่องจากพวกเขายังมีคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาอีก 2 คดีแต่จะมีการยื่นประกันตัวต่อไป ส่วนจำเลยที่สองได้รับการประกันตัวแต่แรกอยู่แล้ว

วิญญัติเน้นย้ำว่าอีก 2 คดีที่เหลือของทั้งสองคนเป็นคดีที่ดีเอสไอนำพยานหลักฐานชุดเดียวกันมาฟ้องทั้งสองคนอีกอ้างว่าเป็นคนก่อเหตุที่แยกคอกวัวก็ต้องสู้ต่อไป แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าจะมีการดำเนินคดีกลับกับเจ้าหน้าที่หรือไม่เนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุดเพราะยังเหลือชั้นอุทธรณ์กับฎีกา

วิญญัติบอกว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าจะมีคดีที่เกี่ยวกับชายชุดดำอีกแค่ไหน แต่ขอฝากถึงดีเอสไอว่าหากคดีไหนพยานหลักฐานไม่ถึงอย่าไปทำลายครอบครัวและอิสรภาพของเขาด้วย

“ผมขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียชีวิตไม่ว่าจะเป็นครอบครัวพล.อ.ร่มเกล้า ครอบครัวทหารและครอบครัวของประชาชนคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งนี้เป็นผลจากการเมืองที่ไม่มีคุณธรรม เป็นผลจากการเมืองที่ไม่แยกแยะซึ่งสะท้อนมาถึงปัจจุบัน ผมก็ขอแสดงความเสียใจในเรื่องนั้น” วิญญัติกล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น