กลุ่มประชากรข้ามชาติฯ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนประเด็นสิทธิแรงงานข้ามชาติในไทย ออกแถลงการณ์ ประณามกองทัพเมียนมาใช้ความรุนแรงสลายผู้ชุมนุม พร้อมเรียกร้องให้กองทัพคืนอำนาจให้รัฐบาลพลเรือนทันที
อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงาน จากเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ
22 ก.พ. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (22 ก.พ. 2564) ระบุว่า เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ และภาคีสมาชิก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนประเด็นสิทธิแรงงานข้ามชาติในไทย ออกแถลงการณ์ประณามกองทัพพม่าใช้กำลังและอาวุธสลายการชุมนุม พร้อมทั้งเรียกร้องให้กองทัพพม่าเคารพหลักสิทธิมนุษยชน และกฎสหประชาชาติ (พ.ศ. 2488) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (พ.ศ. 2488) หลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่ฯ
นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังเรียกร้องให้กองทัพพม่ายอมรับผลการเลือกตั้ง และคืนอำนาจการปกครองให้รัฐบาลพลเรือนทันที
ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังกองทัพพม่าใช้กำลังและอาวุธสลายการชุมนุมที่อู่ต่อเรือยะตะหน่าโบง เมืองมัณฑะเลย์ เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2564 จนทำให้มีชาวบ้านเสียชีวิต 2 ราย จากการถูกกระสุนปืนยิงเข้าใส่ และหนึ่งในผู้เสียชีวิตมีเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีอีกด้วย
อ่านรายละเอียดแถลงการณ์ฉบับเต็ม
22 กุมภาพันธ์ 2564
แถลงการณ์ประชาชนที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน
กองทัพเมียนมาต้องยุติการปราบปรามประชาชนผู้ชุมนุมและคืนอำนาจ
ให้แก่พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเพื่อบริหารประเทศตามระบอบการปกครองประชาธิปไตย
ตามที่กองทัพทหารเมียนมา นำโดยพลเอกอาวุโส มิน ออง หล่าย ได้ประกาศรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพรรค NLD ที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นเหตุให้ประชาชนทั่วประเทศเมียนมา ร่วมชุมนุมประท้วงไม่เห็นด้วยต่อการยึดอำนาจของกองทัพ รวมทั้งแถลงการณ์จากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียน ต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยต่อการกระทำที่ไม่เคารพผลการเลือกตั้งที่เป็นฉันทามติของประชาชนชาวเมียนมา และถือเป็นปรปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันเป็นระบอบการปกครองของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาอย่างร้ายแรง
เป็นระยะเวลากว่าสามสัปดาห์ ที่ประชาชนชาวเมียนมายังคงประท้วงและคณะผู้นำรัฐประหารเริ่มใช้อำนาจในการปราบปรามและสลายการชุมนุม เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยล่าสุดการปราบปรามและสลายการชุมนุมเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 ที่เขตมัณฑะเลย์ ซึ่งมีรายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในอู่ต่อเรือแห่งหนึ่งซึ่งมีคนงานนัดหยุดงานและรวมตัวกันประท้วงการยึดอำนาจของกองทัพ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนจริงใส่ผู้ชุมนุมเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิต 2 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายที่หนึ่ง ถูกยิงด้วยกระสุนปืนจริงที่บริเวณหน้าอก และรายที่สองเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ถูกยิงด้วยกระสุนปืนจริงที่ศีรษะ นอกจากนี้ยังมีผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก
เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติและภาคีสมาชิกในฐานะสมาชิกและประชาชนในประชาคมอาเซียน ขอประณามเหตุรุนแรงจากการใช้กำลังและอาวุธในการสลายการชุมนุมโดยสันติ และขอเรียกร้องให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพเมียนมา ยุติการใช้กำลังและอาวุธในการปราบปรามประชาชนผู้ชุมนุมประท้วง และเคารพต่อกฎสหประชาชาติ (1945) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (1948) หลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่รับรองโดยสหประชาชาติ รวมทั้งหลักปฏิบัติเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ที่ได้รับรองโดยมติที่ประชุมนใหญ่สหประชาชาติ และขอให้กองทัพเมียนมายอมรับผลการเลือกตั้งและคืนอำนาจการปกครองให้กับรัฐบาลพลเรือนในทันที
ด้วยความเคารพต่อหลักการสิทธิมนุษยชน
เครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ
ไอลอว์ (iLaw) สรุปกฎสหประชาชาติ (พ.ศ. 2488) ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (พ.ศ. 2488) หลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่รับรองโดยสหประชาชาติ ครั้งที่ 8 ว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและการปฏิบัติต่อจำเลย เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ถึง 7 กันยายน 2533 ที่กรุงฮาวานา ประเทศคิวบา ข้อ 12 กำหนดว่า ประชาชนมีสิทธิเข้าร่วมการชุมนุมสาธารณะที่ชอบด้วยกฎหมายและโดยสงบ ซึ่งถ้าหากมีการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ การใช้กำลังนั้นก็จะต้องเป็นไปอย่างจำกัด ตามหลักการ ที่ว่า
1. หากเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง หรือหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ให้ใช้เท่าที่จำเป็น
2. หากเป็นการชุมนุมที่ก่อให้เกิดความรุนแรง เจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจใช้อาวุธได้ หากไม่สามารถใช้มาตรการอื่นที่อันตรายน้อยกว่านี้ได้