ที่มาภาพประกอบ: Kimberly Paynter/WHYY
ในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ในบรรดาความยากลำบากทั้งหมดที่คนทำงานดูแลเด็กในสหรัฐอเมริกาต้องเผชิญ ปัญหาใหญ่ที่สุดคือการได้รับค่าตอบแทนต่ำกว่าเกณฑ์ค่าจ้างเลี้ยงชีพในหลายรัฐ ตามงานศึกษาชิ้นใหม่
ช่วงปี 2562 ก่อนที่จะมีการระบาดของโรค COVID-19 คนทำงานดูแลเด็กปฐมวัยเฉลี่ยแล้วมีรายได้เพียง 11.65 ดอลลาร์ (ประมาณ 350 บาท) ต่อชั่วโมง ตามข้อมูลจากดัชนีกำลังแรงงานดูแลเด็ก ซึ่งเป็นการสำรวจทุก ๆ 2 ปีโดยศูนย์ศึกษาการจ้างงานดูแลเด็ก แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ (CSCCE)
มีรายงานศึกษาที่เปิดเผยเมื่อช่วงเดือน ก.พ. 2564 พบว่าคนทำงานดูแลเด็กมีรายได้เพียงพอที่จะครอบคลุมความต้องการขั้นพื้นฐานในแค่ 10 รัฐเท่านั้น ได้แก่ อลาสก้า แอริโซนา โคโลราโด เมนมินนิโซตา เนบราสก้า นอร์ทดาโคตา เวอร์มอนต์ วอชิงตัน และไวโอมิง ในขณะที่ค่าจ้างของคนงานดูแลเด็กที่มีลูกอย่างน้อยหนึ่งคน ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานของค่าจ้างที่อยู่อาศัยในรัฐใด ๆ ของสหรัฐฯ เลย
นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มต้นขึ้น สถานการณ์ของคนทำงานดูแลเด็กก็แย่ลงไปอีก แรงงานจำนวนมากอุตสาหกรรมเป็นผู้หญิงและส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ เอเชีย หรือลาติน คนทำงานราวร้อยละ 60 ระบุว่าสถานดูแลเด็กที่พวกเธอทำงานได้พยายามลดค่าใช้จ่ายผ่านการปลดพนักงาน การให้ลาออก และการลดค่าจ้าง นับตั้งแต่การระบาดเริ่มต้นขึ้นจากการสำรวจที่เผยแพร่ในเดือน ธ.ค. 2563 โดย สมาคมการศึกษาสำหรับเยาวชนแห่งชาติ (NAEYC)
"เราต้องถือว่าสถานการณ์เลวร้ายลงเท่านั้น" แคทริน แมคลีน นักวิจัยของศูนย์ CSCCE และผู้เขียนรายงานกล่าว เธอตั้งข้อสังเกตว่าสถานดูแลเด็กต้องดิ้นรนทางการเงินเป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้ให้บริการจำเป็นต้องลดขนาดชั้นเรียน และซื้ออุปกรณ์สุขอนามัยเพิ่มเติม รวทั้งอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) สำหรับเจ้าหน้าที่และเด็ก
"[การระบาดใหญ่] กำลังแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าแรงงานหญิงส่วนใหญ่เหล่านี้มีพลังมากเพียงใดในการพยายามช่วยเหลือเด็กและครอบครัว และพวกเธอต้องเสียเสียสละเป็นอย่างมาก" แมคลีน กล่าว
ในการศึกษายังพบว่าคนทำงานที่ทำงานกับเด็กปฐมวัยตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 5 ขวบมีรายได้น้อยกว่าครูอนุบาล และอัตราความยากจนในหมู่คนทำงานดูแลเด็กปฐมวัยนั้นสูงกว่าครูมัธยมศึกษาตอนต้น ถึง 7.7 เท่า
"เราต้องการสิ่งที่ดีที่สุดและสดใสที่สุดในการทำงานกับเด็กเล็ก แต่ค่าตอบแทนนั้นต่ำมาก" แมคลีน กล่าว
ปัญหาช่องว่างของค่าจ้างระหว่างเชื้อชาติ
นักวิจัยของศูนย์ CSCCE ยังระบุถึงช่องว่างของค่าจ้างระหว่างเชื้อชาติ ว่าระหว่างคนผิวดำกับคนผิวขาวอยู่ที่ 0.78 ดอลลาร์ (ประมาณ 24 บาท) ต่อชั่วโมงในกลุ่มผู้ดูแลเด็กแรกเกิด ช่องว่างกว้างขึ้นในหมู่ผู้ที่ทำงานกับเด็กปฐมวัย โดยคนดูแลเด็กผิวดำมีรายได้น้อยกว่าคนดูแลเด็กผิวขาวถึง 1.71 ดอลลาร์ (ประมาณ 52 บาท) ต่อชั่วโมง
"ยากพอ ๆ กับที่ใคร ๆ จะใช้ชีวิตเลี้ยงชีพด้วยการทำอาชีพคนทำงานดูแลเด็กในสหรัฐฯ นอกจากค่าจ้างที่ต่ำและคุณจะได้รับการสนับสนุนเพียงเล็กน้อยแล้ว มันจะยิ่งแย่ลงหากคุณเป็นผิวดำและลาติน" แมคลีน กล่าว "เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้คนจะต้องเข้าใจว่าเมื่อคุณทำงานในหนึ่งในอาชีพที่ได้รับค่าตอบแทนต่ำที่สุดในสหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้นคุณกำลังเผชิญกับความไม่เท่าเทียมกันของค่าจ้างซึ่งเป็นปัญหาจริง ๆ"
หนทางแก้ไขปัญหา
เพื่อที่ช่วยแก้ปัญหาค่าตอบต่ำในอุตสาหกรรมการดูแลเด็ก ศูนย์ CSCCE กำลังสนับสนุนการปฏิรูปนโยบายพื้นฐาน เช่นการให้เงินทุนสาธารณะโดยตรง การจัดลำดับความสำคัญของค่าตอบแทนที่ยุติธรรมและเพียงพอสำหรับคนทำงาน หรือแม้แต่การกำหนดมาตรฐานค่าจ้างในท้องถิ่นหรือของรัฐ
การกำหนดมาตรฐานค่าจ้าง สามารถแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันของค่าจ้างได้ ซึ่งมาตรฐานที่พัฒนาขึ้นควรคำนึงถึงบทบาทงาน ประสบการณ์ และระดับการศึกษา เพื่อสร้างความเป็นของค่าตอบแทนแก่ทุกเชื้อชาติ
"อุปสรรคสำคัญที่สุดในการปรับปรุงสภาพการทำงานสำหรับงานนักการศึกษาระดับปฐมวัย คือการขาดระบบการดูแล และขาดการสนับสนุนจากสาธารณะ" แมคลีน กล่าว
ทั้งนี้ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็มีการระบุถึงการจัดสรรงบประมาณเกี่ยวกับการดูแลเด็กไว้ถึง 40 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้พรรคเดโมแครตยังมีเป้าหมายเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจาก 7.50 ดอลลาร์ (ประมาณ 230 บาท) ต่อชั่วโมง ให้เป็น 15 ดอลลาร์ (ประมาณ 460 บาท) ต่อชั่วโมงอีกด้วย
แต่ขั้นตอนเหล่านั้นอาจไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนภูมิทัศน์สำหรับงานผู้ดูแลเด็กทั้งหมด แมคลีนยังระบุว่าวิกฤต COVID-19 ได้เปิดเผยให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการดูแลเด็กในสังคมอเมริกัน
"เรามีการพูดคุยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับวิธีการเปลี่ยนแปลงระบบ แต่กลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้หญิงที่ทำงานนี้มากพอ" เธอกล่าว
ที่มาเรียบเรียงจาก
Many child-care workers don’t earn a living wage—and that was the case even before the pandemic (Megan Leonhardt, CNBC, 24 Febuary 2021)