Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

เป็นที่งงงวยไปตามๆกันเมื่อมีข่าวกองทัพบกเข้ามารับบทบาทใหญ่ผลักดันโครงการอภิมหา “เมกะโซลาร์ฟาร์ม” 30,000 เมกะวัตต์ โดยจะนำพื้นที่ของกองทัพบกทั่วประเทศกว่า 4.5 ล้านไร่มาพัฒนา  
ข่าวความร่วมมือระหว่างกองทัพบกและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อ "ศึกษาความเป็นไปได้" ของโครงการ ได้พัฒนาต่อไปเป็นข่าวบริษัทพลังงานกว่า 30 บริษัทตบเท้าเข้าพบ พลโท รังษี กิติญาณทรัพย์ ในฐานะตัวแทนกองทัพบก เพื่อแสดงเจตจำนงในการขอร่วมลงทุนและขอรับทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เอกชนบางบริษัท มีท่าทีสนับสนุนไอเดียของกองทัพบก ว่าจะนำพาประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค แต่สำหรับผู้สังเกตการณ์อื่นๆที่ไม่มีส่วนได้เสียโดยตรง คงมีข้อกังขาและคำถามมากมายต่อบทบาทและท่าทีที่ฮึกเหิมของกองทัพบกในครั้งนี้  ว่าเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการกำหนดนโยบายและแผนพลังงานหรือไม่อย่างไร 

การกำหนดนโยบายและแผนพลังงานในประเทศไทยที่ผ่านมา เปรียบเสมือนเป็นพื้นที่สงวน สำหรับผู้เชี่ยวชาญหรือนักเทคโนแครตด้านพลังงาน  จนบางครั้ง "ความเชี่ยวชาญ" ถูกนำมาใช้เป็นเกราะในการกีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชน  แต่อย่างไรก็ดี  ความภูมิใจในความเป็นมืออาชีพ มีส่วนช่วยตีกรอบไม่ให้นโยบายและแผนพลังงานหลงทางออกไปไกลจากหลักการและแนวการปฏิบัติที่มีการยอมรับได้มากนัก

ดังนั้น (อย่างน้อยในเชิงวาทกรรม) การวางแผนกิจการไฟฟ้าแบบมืออาชีพ  จะต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพในการจัดหากำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ ให้เพียงพอต่อความต้องการ ระบบมีความมั่นคง และไม่ก่อให้เกิดภาระ  เกินควรต่อผู้ใช้ไฟ อีกทั้งยังคำนึงถึง การกระจายความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

แต่แล้วความศักดิ์สิทธิ์ของระบอบความเชี่ยวชาญเป็นมืออาชีพ (Technocracy) ที่เคยปกครองการกำหนดนโยบายและแผนพลังงานประเทศไทย ก็ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อบริษัทพลังงานกว่า 30 บริษัทตบเท้าเข้าพบ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5  เพื่อขอรับทราบเงื่อนไขในการร่วมชิงส่วนแบ่งเค้กก้อนโตโครงการเมกะโซลาร์ฟาร์มมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท 

เป็นที่น่าสังเกตว่า การประชุมดังกล่าว เกิดขึ้นที่อาคารสำนักงานของช่อง 5 ไม่ใช่ที่กระทรวงพลังงาน และไม่มีรายงานว่ามี ตัวแทนจากกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้แต่อย่างใด  

หรือนี่จะเป็นสัญญาณว่า ประเทศไทย กำลังจะก้าวสู่ยุคใหม่ที่กระทรวงพลังงาน และความเชี่ยวชาญทางเทคนิคที่สั่งสมมากำลังจะหมดความหมาย ไร้ความจำเป็น  หลักการที่ว่าการจัดหาไฟฟ้าควรเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการไฟฟ้าของประเทศ ก็ดูเหมือนว่าจะล้าสมัยด้วยเช่นกัน

ประเทศไทยมีความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดที่ 28,637 เมกะวัตต์ ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และมีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวโตช้ากว่าที่คาดไว้  ในขณะที่กำลังการผลิตติดตั้งของประเทศอยู่ที่ 46,475 เมกะวัตต์  หรือมีกำลังการผลิตสำรองสูงที่ถึงร้อยละ 59  นอกจากนี้ก็ยังมีโปรเจคอีกจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง  แค่เฉพาะโครงการที่กลุ่มบริษัทกัลฟ์ (Gulf) มีส่วนเป็นเจ้าของ ก็จะนำกำลังผลิตใหม่เข้าระบบมากถึง 6,940 เมกะวัตต์  

ไฟฟ้ามีความล้นเกินจนในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ที่เรียกว่า IPP จำนวนถึง 8 โรงจากทั้งหมด 12 โรงไม่ได้เดินเครื่องเลยตลอดทั้งเดือน ในสถานการณ์เช่นนี้ การเคาะโครงการใหม่ 30,000 เมกะวัตต์ จึงเป็นการวางแผนนโยบายพลังงานที่สวนทางกับความต้องการของประเทศอย่างสิ้นเชิง 
คำถามต่อมาก็คือ ภาระจากการลงทุนเมกะโซลาร์ฟาร์ม ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? ในกรณีของโรงไฟฟ้า IPP 8 โรงที่ไม่ได้เดินเครื่องเลย  แม้จะไม่ถูกใช้งานเนื่องจากไม่มีความต้องการไฟฟ้า  แต่ก็ยังก่อให้เกิดต้นทุนภาระค่าไฟมูลค่านับพันล้านบาทต่อเดือนที่ผู้ใช้ไฟต้องแบกรับ  เนื่องจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าถูกออกแบบให้ มีการประกันกำไรให้แก่นักลงทุนไม่ว่าโรงไฟฟ้าจะมีการเดินเครื่องหรือไม่ 

นอกจากนี้  มีข่าวว่ารัฐบาลคิดจะแก้ปัญหาไฟฟ้าล้นเกิน โดยการยกเลิกการใช้กำลังผลิตสำรองร้อยละ 15 มาเป็นเกณฑ์ในการวางแผนระบบไฟฟ้า  ซึ่งเป็นการคิดที่มักง่ายและดูถูกสติปัญญาของคนไทยมาก  เพราะนอกจากจะไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย (กำลังผลิตส่วนเกินก็ยังอยู่ในระบบและยังคงเป็นภาระต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ผู้ใช้ไฟจะต้องจ่าย) ยังเป็นการเปิดทางให้มีการลงทุนเพิ่มเติมโดยไม่มีหลักเกณฑ์ ซ้ำเติมปัญหาและภาระไฟฟ้าล้นเกินของผู้ใช้ไฟ 

สำหรับโครงการเมกะโซลาร์ฟาร์ม ถึงแม้จะยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัด แต่เนื่องจากเป็นการร่วมมือกันระหว่าง กองทัพบก และ กฟผ. ซึ่งเป็นผู้ผูกขาดการจัดหาไฟฟ้า  จึงไม่แปลกใจเลย หากต้นทุนจากการรับซื้อไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มจะถูกส่งเป็นภาระต้นทุนแก่ผู้ใช้ไฟในที่สุด

บทบาทของกองทัพบกในการเคาะ “mega-deal” ในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่ฉีกหน้ากระทรวงพลังงาน ฉีกตำราว่าด้วยการกำหนดนโยบายสาธารณะด้านไฟฟ้า แต่ยังอาจถือเป็นการฉีกกฎเกณฑ์และกฎหมายอีกด้วย
พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ได้จัดตั้งและมอบอำนาจ ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีอำนาจและหน้าที่ ในการกำหนดกฎเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับซื้อไฟฟ้า  อีกทั้งยังกำหนดให้การจัดหาไฟฟ้าเน้นการแข่งขันและมีส่วนร่วม เพื่อดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภค  ดังนั้น  กองทัพบกมิได้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ในการวางแผนนโยบายพลังงาน หรือกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์ฟาร์ม หรือตัดสินใจว่าบริษัทใดควรมีสิทธิ์ในการเข้าร่วมการลงทุน

การดำเนินงานของ กกพ. ที่ผ่านมาได้ถูกตั้งคำถามในเรื่องประสิทธิภาพและความเป็นกลาง (รัฐบาลที่แล้วได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในการแทรกแซงแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ทั้งชุด) อย่างไรก็ดี ผู้ใช้ไฟฟ้ายังคงคอยลุ้นให้ กกพ. ใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเต็มที่ ทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ผู้บริโภคอย่างเป็นกลางและมีประสิทธิผล มิฉะนั้นแล้ว กกพ. ก็คงไม่ต่างไปจากตรายางราคาแพงของฝ่ายการเมือง  เพิ่มภาระค่าไฟฟ้านับพันล้านบาทต่อปีโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค 

ในขณะนี้ ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้กลายเป็นแหล่งพลังงานที่มีต้นทุนต่ำที่สุดแหล่งหนึ่งของโลก   แต่หากวิธีการจัดหาเป็นไปโดยขาดการแข่งขันและขาดความโปร่งใส  อีกทั้งยังไม่มีความต้องการรองรับ   แทนที่โครงการเมกะโซล่าฟาร์มจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด อาจจะกลายเป็นตัวถ่วงสร้างภาระซ้ำเติมผู้บริโภคและภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่กำลังย่ำแย่จากวิกฤตเศรษฐกิจอันเนื่องจากโควิด

ระบบการวางแผนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคแม้จะมีปัญหา แต่ในภาพรวมแล้ว ระบบ "ใบสั่งทางการเมือง" แบบ Top-down ที่มาแทนที่น่าจะแย่กว่า ดังนั้น สิ่งที่ภาคพลังงาน (และภาคอื่นๆ) ต้องการและก่อให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่การแทรกแซงของทหาร แต่เป็นการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและมีธรรมาภิบาล

 

 

เกี่ยวกับผู้เขียน: ชื่นชม สง่าราศรี กรีเซน เป็นนักวิจัยอิสระและอดีตนักวิเคราะห์นโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net