กรณีร่างกฎหมายกีดกันคนข้ามเพศในสหรัฐฯ ไม่ให้แข่งกีฬา ผลพวงและเสียงต่อต้าน

หลายรัฐในสหรัฐฯ มีการเสนอร่างกฎหมายกีดกันคนข้ามเพศจำนวนมากถึง 82 ฉบับในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2564 เรื่องที่ถูกอภิปรายกันมากคือกฎหมายกีดกันเยาวชนคนข้ามเพศไม่ให้ลงแข่งขันกีฬา ซึ่งถูกต่อต้านจากทั้งกลุ่มธุรกิจ นักกีฬาหลายร้อยคน และกลุ่มนักเคลื่อนไหว รวมถึงมีการประเมินว่ารัฐใดก็ตามที่ออกกฎหมายกีดกันเช่นนี้มักจะเผชิญผลพวงทางลบทั้งสิ้น ไม่เพียงเท่านั้นผู้เชี่ยวชาญยังตีตกข้ออ้างของกฎหมายกีดกันเหล่านี้ว่าไม่มีมูลความจริงและอาศัยแค่ภาพเหมารวมคนข้ามเพศมาตัดสินเท่านั้น

มีการตั้งข้อสังเกตว่าถึงแม้ปี 2564 จะเพิ่งผ่านมาได้ยังไม่ถึง 3 เดือน แต่รัฐบาลประจำรัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ ก็เสนอร่างกฎหมายในเชิงต่อต้านผู้มีความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะคนข้ามเพศ (transgender) จำนวนมากถึงประมาณ 82 ฉบับ เทียบกับในปี 2563 ที่มีการเสนอร่างกฎหมายทำนองนี้ 79 ฉบับ

ตัวอย่างส่วนหนึ่งของร่างกฎหมายเหล่านี้ คือร่างกฎหมายที่กีดกันสวัสดิการทางการแพทย์ของคนข้ามเพศในสองรัฐคือเซาธ์แคโรไลนาและเท็กซัส รวมถึงการเสนอร่างกฎหมายในรัฐมิชิแกนกับรัฐเซาธ์์ดาโกตาที่กีดกันไม่ให้คนข้ามเพศเข้าร่วมการแข่งขันกีฬา

องค์กรฮิวแมนไรท์แคมเปญซึ่งเป็นองค์กรเพื่อกลุ่ม LGBTQ+ ตั้งข้อสังเกตว่ามีความพยายามเสนอร่างกฎหมายในเชิงต่อต้าน LGBTQ+ ในสหรัฐฯ อย่างเร่งรีบมากในหลายรัฐของปีนี้ ทางองค์กรได้ทำการติดตามเรื่องการเสนอกฎหมายต่อต้าน LGBTQ+ มาโดยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาพบว่าการเสนอร่างกฎหมายในเชิงกีดกันเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมาจนถึงตอนนี้

ฮิวแมนไรท์แคมเปญตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มที่ผลักดันร่างกฎหมายกีดกันเลือกปฏฺิบัติในปีนี้เป็นกลุ่มในระดับประเทศที่พยายามสกัดกั้นความก้าวหน้าของ LGBTQ+ ทั้งหมด โดยที่กฎหมายเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงซึ่งหมายถึง "ปัญหา" ที่กลุ่มเหยียด LGBTQ+ ชอบกล่าวอ้าง อีกทั้งยังไม่ใช่กฎหมายที่มาจากความต้องการของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามมันมาจากพวกกลุ่มขวาจัดที่พยายามสร้างความหวาดกลัวและหว่านเมล็ดพันธุ์ความเกลียดชังในสังคม

ประธานของฮิวแมนไรท์แคมเปญ อัลฟองโซ ดาวิด แถลงว่า สิ่งที่พวกขวาจัดเหล่านี้ไม่เข้าใจคือการที่พวกเขาต่อต้านความหลากหลายและความเท่าเทียมทางเพศสภาพ-เพศวิถีนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครนิยมชมชอบด้วยแม้แต่ในหมู่ผู้โหวตให้โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตาม อีกทั้งรัฐใดก็ตามที่ผ่านร่างกฎหมายโจมตีชุมชน LGBTQ+ เหล่านี้มักจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ทางลบอย่างหนักทางเศรษฐกิจ, ทางกฎหมาย และทางด้านชื่อเสียงของรัฐ

ทั้งนี้ ในช่วงที่ ส.ส. ในระดับรัฐบาลกลางกำลังเน้นออกมาตรการเพื่อเยียวยาทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 เช่นนี้แล้ว การพยายามผลักดันในเชิงต่อต้าน LGBTQ+ ในยามนี้จึงไม่มีแรงสนับสนุนผลักดัน ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาล โจ ไบเดน ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งยังเคยแสดงออกในเขิงสนับสนุนผู้มีความหลากหลายทางเพศก่อนหน้านี้ด้วยการลงนามคำสั่งพิเศษในเรื่องการคุ้มครองชาวสีรุ้งและสภาคองเกรสก็มีการพิจารณาร่างกฎหมายความเท่าเทียมทางเพศสภาพและเพศวิถีตั้งแต่ 100 วันแรกหลังจากที่มีการเข้ารับตำแหน่งของไบเดน

ไม่เพียงแค่ภาคส่วนของรัฐบาลเท่านั้น กลุ่มธุรกิจจำนวนมาก กลุ่มนักกิจกรรมหลายองค์กร และกลุ่มนักกีฬาต่างก็ต่อต้านกฎหมายการกีดกันคนข้ามเพศไม่ให้ลงแข่งกีฬาทั้งสิ้น

กฎหมายการกีดกันที่ว่านี้ ไม่ยอมรับให้คนข้ามเพศลงแข่งขันกีฬาตามเพศสภาพของตนเอง (เช่นหญิงข้ามเพศลงแข่งกีฬาสำหรับผู้หญิง) โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อ "ความแฟร์" พวกเขากล่าวอ้างว่าการให้คนข้ามเพศแข่งกีฬาร่วมกับคนที่มีเพศสภาพตามเพศกำเนิด (cisgender) จะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน แต่ก็มีข้อโต้แย้งว่าข้ออ้างเช่นนี้ตั้งอยู่บนฐานของการเหมารวมทางเพศว่าบุคคลที่มีเพศหนึ่งจะต้องมีลักษณะทางร่างกายและทักษะแบบเดียวกันไปหมด อีกทั้งยังเป็นการข่มเหงรังแกและกีดกันคนข้ามเพศจากกีฬา กลายเป็นผลร้ายทางสุขกายและใจของคนชายขอบในสังคม

ข้ออ้างว่าคนข้ามเพศ "ได้เปรียบ" เป็นข้ออ้างไร้ที่มาที่ไป

โชชานา เค โกลด์เบิร์ก ศาสตราจารย์ผู้ช่วยนักวิจัยที่เชี่ยวชาญด้านสุขภาวะของ LGBTQ+ กล่าวว่าข้ออ้างความชอบธรรมจากร่างกฎหมายกีดกันคนข้ามเพศจากกีฬาเหล่านี้มักจะมาจากเทคนิคโฆษณาชวนเชื่อสร้างความตื่นกลัวไปเอง การสร้างภาพเหมารวมคนข้ามเพศ และการอ้างแบบไร้ที่มาที่ไปว่าหญิงข้ามเพศมีสภาพร่างกายที่ได้เปรียบหญิงที่ถูกระบุตามเพศกำเนิด ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ ในข้ออ้างนี้เลย หญิงข้ามเพศลงแข่งกีฬากับหญิงตามเพศกำเนิดมานานหลายสิบปีแล้วโดยที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร

โกลด์เบิร์กระบุอีกว่าที่คนข้ามเพศเล่นกีฬานั้นมีจุดประสงค์แบบเดียวกับที่ผู้มีเพศตามเพศกำเนิดเล่นกีฬานั่นคือการได้รับประโยชน์ทางสุขภาพทั้งต่อร่างกายและจิตใจ นั่นรวมถึงทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นด้วย การกีดกันคนข้ามเพศไม่ให้เล่นกีฬาจึงกลายเป็นการตอกย้ำทำร้ายคนข้ามเพศที่เสี่ยงทางสุขภาพจิตเพราะเป็นชายขอบและเผชิญการกดทับทางสังคมอยู่แล้ว ทำให้ยิ่งไม่มีหนทางได้บรรเทาทุกข์ในเรื่องสุขภาพจิตของตนเอง

คริส โมซิเออร์ นักกีฬาชายข้ามเพศที่เปิดเผยตัวเองเป็นคนแรกของสหรัฐฯ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า กีฬาเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีคุณค่าความหมายในชีวิตและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน

ในขณะที่โมซิเออร์เป็นแบบอย่างของเยาวชนคนข้ามเพศที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาก็เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาได้เช่นกัน แต่เยาวชนคนข้ามเพศหลายคนก็ยังกังวลว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าร่วมแข่งขันได้เพราะความเป็นคนข้ามเพศของตัวเอง ร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายจะกีดกันเหล่านี้ก็ยิ่งทำให้เยาวชนคนข้ามเพศรู้สึกไม่ปลอดภัยและรู้สึกตกเป็นเป้าโจมตี อีกทั้งเมื่อใดก็ตามที่มีกฎหมายเหล่านี้ นักเรียนที่เป็นคนข้ามเพศจะรู้สึกว่าสังคมทำให้พวกเขาต้องอับอายในตัวเอง

"ความเป็นจริงคือ หญิงข้ามเพศเป็นผู้หญิง และชายข้ามเพศก็เป็นผู้ชาย มีความกลัวว่าการให้เด็กผู้หญิงที่เป็นหญิงข้ามเพศลงแข่งขันกับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ นั้นจะทำให้พวกเขามีความได้เปรียบมากกว่า แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง และมาจากการเหมารวมแบบผิดๆ ต่อคนข้ามเพศ" โมซิเออร์กล่าว

นักกีฬาทีมชาติสหรัฐฯ ผู้เป็นชายข้ามเพศบอกอีกว่านักกีฬาไม่ว่าเพศใดก็ตามล้วนแต่มีรูปร่าง ขนาดตัว และทักษะความสามารถที่แตกต่างกัน มันเป็นเรื่องไม่เป็นธรรมที่จะกีดกันคนออกจากการเล่นกีฬาด้วยฐานเรื่องสรีระ

ฮิวแมนไรท์แคมเปญระบุว่ามีนักกีฬาเกือบ 550 คนที่แสดงจุดยืนต่อต้านกฎหมายกีดกันคนข้ามเพศ เรียกร้องให้สมาคมกีฬาอุดมศึกษาของสหรัฐฯ (NCAA) ถอนการแข่งขันในรัฐที่มีกฎหมายกีดกันคนข้ามเพศ องค์กรด้านสวัสดิการเด็กมากกว่า 1,000 แห่งก็ยื่นจดหมายเปิดผนึกขอให้ผู้แทนทางการเมืองในรัฐต่างๆ ต่อต้านกฎหมายกีดกัน LGBTQ+ โดยเฉพาะเยาวชนคนข้ามเพศ

ไม่เพียงเท่านั้นกลุ่มธุรกิจใหญ่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไอทีอย่างเฟสบุคหรือเดล บริษัทยาอย่างไฟเซอร์ บริษัทเครื่องกีฬาไนกี และบริษัทอื่นๆ รวมประมาณ 55 บริษัทก็มีจุดยืนต่อต้านกฎหมายกีดกันคนข้ามเพศ

มีการตั้งข้อสังเกตอีกว่าผู้เสนอและผลักดันกฎหมายลิดรอนโอกาสของบุคคลเหล่านี้มาจากกลุ่มองค์กรที่เกลียดชังและต่อต้าน LGBTQ+ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น เฮอร์ริเทจ ฟาวด์เดชัน, อะไลอันซ์ดีเฟนดิงฟรีดอม (ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกระบุว่าเป็นกลุ่มปลุกปั่นความเกลียดชังโดยองค์กรเซาธ์เทิร์นโพเวอตีลอว์ผู้ตรวจสอบกลุ่มเหล่านี้) และอีเกิลฟอรัม เป็นอาทิ

 

แม้แต่คนโหวตให้ 'ทรัมป์' ส่วนมากก็ไม่ได้ต่อต้านคนข้ามเพศ

เคยมีการสำรวจพบว่าประชาชนในสหรัฐฯ แม้กระทั่งผู้ลงคะแนนเสียงให้โดนัลด์ ทรัมป์ โดยส่วนใหญ่ก็สนับสนุนกฎหมายคุ้มครองคนข้ามเพศมากกว่ากฎหมายที่กีดกันคนข้ามเพศ จากการสำรวจในรัฐที่มีคะแนนเสียงสนับสนุนทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตสูสีกันแบบที่เรียกว่า "swing states" 10 รัฐ มีผู้ลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์จากทั้งสิบรัฐร้อยละ 60 ที่ระบุว่าคนข้ามเพศควรจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเสรีและอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ร้อยละ 87-90 ระบุว่าคนข้ามเพศควรจะสามารถเข้าถึงสวัสดิการทางการแพทย์ได้

ไม่เพียงแค่ไม่เป็นที่นิยม แต่รัฐใดก็ตามที่ผ่านร่างกฎหมายต่อต้านคนข้ามเพศต่างก็เผชิญกับผลทางลบทั้งนั้น เช่น กรณีรัฐไอดาโฮก่อนหน้านี้ที่เคยผ่านร่างกฎหมายกีดกันไม่ให้คนข้ามเพศลงแข่งกีฬา แต่กฎหมายนี้ก็ถูกศาลกลางสหรัฐฯ สั่งระงับอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสมาคมกีฬาอุดมศึกษาสหรัฐฯ ยังประท้วงด้วยการบอยคอตต์ไม่จัดแข่งขันกีฬาในไอดาโฮ

อีกกรณีหนึ่งคือรัฐนอร์ทแคโรไลนาที่เคยออกกฎกีดกันบังคับให้คนข้ามเพศต้องเข้าห้องน้ำตามเพศกำเนิดของตัวเองเท่านั้น สื่อเอพีก็ได้ประเมินไว้ว่ากฎหมายใหม่นี้ส่งผลกรทบให้รัฐนี้สูญเสียรายได้ 3,760 ล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา

อีกรัฐหนึ่งที่กระทบในเรื่องนี้เพราะกฎหมายกีดกันคนข้ามเพศคือเท็กซัส ซึ่งสมาคมธุรกิจเท็กซัสเคยประเมินว่าพวกเขาสูญเสียทางเศรษฐกิจ 8,500 ล้านดอลลาร์จากการที่ถูกบอยคอตต์ทั้งจากสมาคมกีฬา ถูกยกเลิกการใช้เป็นพื้นที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ถูกยกเลิกส่งเสริมการท่องเที่ยว และมีโครงการธุรกิจที่ถอนตัวออกจากรัฐเพื่อประท้วงในเรื่องนี้

ทำให้ดูเหมือนว่าการกระทำตามกลุ่มขวาจัดที่แพร่กระจายความเกลียดชัง กีดกัน เลือกปฏิบัติ และลิดรอนเสรีภาพกับโอกาสของกลุ่ม LGBTQ+ เช่นนี้ นอกเหนือจากความเสียหายที่ชาวสีรุ้งต้องเผชิญแล้ว ทำให้เกิดผลเสียในแง่มุมอื่นๆ อย่างเศรษฐกิจของรัฐที่ออกกฎหมายเหล่านี้ด้วย

เรียบเรียงจาก

BREAKING: 2021 Becomes Record Year For Anti-Transgender Legislation, Human Rights Campaign, 13-03-2021

Fair Play : The Importance of Sports Participation for Transgender Youth, Shoshana K. Goldberg, Center for American Progress, 08-02-2021

Op-ed: Pushing Trans Youth Away From Sports Is Harmful, Chris Mosier, Out, 15-01-2019

South Dakota Passes Bill Restricting Transgender Girls From Sports Teams, NPR, 08-03-2021

ที่มาของภาพประกอบข่าว: Wikipedia/Foreign and Commonwealth Office

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท