Skip to main content
sharethis


ที่มาภาพ: Frontier

สื่อฟรอนเทียร์เมียนมารายงานเรื่องที่ทีมแพทย์อาสาต้องเผชิญกับอันตรายจากความรุนแรงของฝ่ายเผด็จการทหารพม่า ทั้งอันตรายจากกระสุนปืน การถูกทุบตีทำร้าย และการถูกจับกุม ซึ่งกลุ่มอาสาสมัครมองว่าเผด็จการทหารพยายามสร้างความหวาดกลัวเพื่อสกัดกั้นไม่ให้แพทย์อาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อ ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายด้านมนุษยธรรมสากล

เมื่อสมาชิกทีมแพทย์อาสาสมัครจากองค์กร Payaheta Darri ในมัณฑะเลย์เข้าไปถึงพื้นที่ทีมีความรุนแรง พวกเขาไม่สามารถนำรถพยาบาลเข้าไปใกล้เหยื่ออายุ 18 ปีได้มากพอที่จะนำตัวเขาขึ้นเปลสนามแล้วเลื่อนเปลพาตัวเหยื่อไปสู่จุดปลอดภัยได้

เหยื่อรายดังกล่าวถูกยิงที่ข้างหลังในขณะที่เขาอยู่ในบ้าน ที่เมือง Chan Aye Thar Zan ในขณะที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงใช้กระสุนจริงกราดยิงอย่างต่อเนื่อง รถพยาบาลฉุกเฉินใกล้ที่สุดที่สามารถจะเข้าไปถึงพื้นที่ได้อยู่ห่างออกไป 3 บล็อก ทำให้หนึ่งในทีมแพทย์อาสาสมัคร Ko Htet Myat ตัดสินใจต้องใช้วิธีการเดินเท้าแทนรถ

เขาเดินอย่างระมัดระวังผ่านกลุ่มผู้ประท้วงรุ่นเยาว์ที่เบียดกันอยู่หลังแผงกั้นที่ทำจากกระบะทรายและไม้ไผ่สาน พวกเขาพูดถึงพื้นที่ถนนสาย 76 แห่งนั้นว่าเป็นเสมือน "สมรภูมิ" ทีมแพทย์เข้าไปในบ้านที่มีคนถูกยิงแล้วช่วยกันพยุงหามตัวเหยื่อโดยคล้องแขนที่ลำคอและไหล่ของผู้ช่วยเหลือ พวกเขายักแย่ยักยันกลับไปถึงรถพยาบาลได้สำเร็จ มีกระสุนจากถนนสาย 76 ปลิวผ่านไป 3 นัด นัดสุดท้ายเฉียดศรีษะของ Htet Myat ไปอย่างน่าผวา เขานำตัวผู้บาดเจ็บขึ้นรถพยาบาลก่อนจะมุ่งหน้าออกไป เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นในช่วงตี 1 ของวันที่ 27 มี.ค.

ในวันเดียวกับกองทัพทัตมะตอว์จัดให้มีวันเฉลิมฉลองครบรอบ 76 ปีกองทัพพม่าที่เมืองหลวงเนปิดอ กองทัพภายใต้การนำของผู้บัญชาการ มินอ่องไลง์ ก็สังหารประชาชนไปมากกว่า 100 ราย

Htet Myat เป็นหนึ่งในทีมแพทย์อาสาหลายพันคนในพม่าที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีจากรัฐบาลทั้งด้วยลูกกระสุนและด้วยกฎหมาย

มีกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารระดมยิงกระสุนหลายนัดใส่รถพยาบาล ในขณะที่รถพยาบาลคันนั้นกำลังนำตัวเหยื่อกระสุนปืนไปส่งโรงพยาบาล และนับตั้งแต่ที่มีการปราบปรามประชาชนเกิดขึ้นก็มีกรณีโจมตีโรงพยาบาลและคนทำงานทางการแพทย์-พยาบาลอย่างน้อย 28 กรณี ข้อมูลนี้มาจากสหประชาชาติซึ่งประณามการที่เผด็จการทหารจงใจโจมตีกลุ่มอาสาสมัครกู้ภัยและยานยนต์ของพวกเขาว่าเป็นการสกัดกั้นไม่ให้มีการช่วยเหลือชีวิตประชาชนที่กำลังบาดเจ็บได้

นอกจากนี้จากข้อมูลของสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองยังระบุอีกว่า มีกรณีที่เผด็จการทหารบุกโจมตีองค์กรอาสาสมัครกู้ภัยอีกหลายแห่ง และจับตัวอาสาสมัครทางการแพทย์ไปอย่างน้อย 18 ราย พวกเขาถูกดำเนินคดีและลงโทษเพียงเพราะพยายามช่วยเหลือชีวิตผู้คน

องค์กรเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นองค์กรเล็กๆ ในระดับท้องถิ่นและทำงานแบบไม่สังกัดกับรัฐบาล แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลพม่าเองยังถูกโจมตีไปด้วย นั่นคือองค์กรกาชาดของพม่า คนทำงานกาชาดถูกจับกุมและถูกทำร้ายจากรัฐบาล มีบางคนอยู่ในที่คุมขังของรัฐบาล

ผู้อำนวยการกาชาดของพม่า Htin Zaw Soe กล่าวว่า พม่าได้ลงนามในอนุสัญญาเจนีวาในปี 2482 ไปแล้วซึ่งอนุสัญญาระบุว่าอาสาสมัครหรือยานพาหนะใดก็ตามที่มัสัญลักษณ์กาชาดถือว่าต้องได้รับการคุ้มครอง การทำร้ายบุคคลและยานพาหนะเหล่านี้ถือว่ารัฐบาลเผด็จการทหารพม่ากำลังละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมนานาชาติ Htin Zaw Soe บอกว่าเขามีแผนการจะสร้างความตระหนักรู้มากขึ้นให้กับประชาชนทั่วไปในเรื่องนี้

Htet Myat เองวิจารณ์เผด็จการทหารโดยตรงในเรื่องที่พวกเขาโจมตีกลุ่มอาสาฯ ว่าสะท้อนให้เห็นความไร้ศีลธรรมของทัตมะตอว์อย่างชัดเจนว่าเป็นเผด็จการทหารที่ไร้มนุษยธรรมจากการสกัดกั้นไม่ให้พวกเขาไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ

เหตุการณ์ที่กองทัพเผด็จการพม่าโจมตีหน่วยอาสาสมัครเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนหน้าเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนในวันกองทัพพม่าแล้ว มีเหตุการณ์ที่รถพยาบาลคันหนึ่งของ Payaheta Darri ถูกระดมยิงใส่ 15 ครั้งนอกสำนักงานของทีมอาสาฯ ในคืนวันที่ 17 ก.พ.

U Ye Myint Win หรือ นิกกีย์ ไดอามอนด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนพม่าจากองค์กรนานาชาติฟอร์ติฟายไรท์ส กล่าวว่าที่เผด็จการทหารพม่าทำเช่นนี้่น่าจะเพราะว่าพวกเขามองกลุ่มอาสาสมัครช่วยเหลือผู้คนว่าเป็นกลุ่มที่เอียงข้างต่อต้านการรัฐประหารจากการที่พวกเขาคอยช่วยเหลือผู้ชุมนุมเมื่อมีการปราบปราม ทำให้พวกทหารมีเป้าหมายสกัดกั้นไม่ให้มีการช่วยเหลือและรักษาพยาบาลผู้ประท้วงได้สำเร็จ

ทั้งนี้ยังมีการระบุถึงกรณีการโจมตีรถพยาบาลในที่อื่นๆ และมีการพูดถึงเรื่องการจับกุมตัวอาสาสมัครกาชาดว่าเจ้าหน้าที่ทางการจับกุมอาสาสมัครเหล่านี้โดยไม่ได้บอกว่าทำผิดข้อหาอะไร แต่ในบางกรณีก็มีการจับกุมอาสาสมัคร Payaheta Darri เข้าคุกหลังจากที่มีการรักษาพยาบาลผู้ประท้วงจากนั้นก็ตั้งข้อหาผู้ประท้วงเหล่านี้ว่าฝ่าฝืนกฎหมายอาญามาตรา 505 ว่าด้วยการยุยงปลุกปั่น ทำให้หัวหน้าอาสาสมัครกลุ่มนี้ระงับการให้บริการไปเนื่องจาก "ความไม่ปลอดภัย"

นอกจากเรื่องการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บแล้ว เผด็จการทหารยังก่อเหตุโจมตีแม้กระทั่งการจัดงานศพแบบไม่คิดค่าใช้จ่าย เช่นในเมืองย่างกุ้ง สมาคมให้บริการงานศพฟรีจำต้องระงับการให้บริการทั้งหมดหลังจากในวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่ทหารบุกโจมตีพวกเขาตอนเที่ยงคืน ในช่วงที่บุกโจมตีพวกเขาทำร้ายร่างกายคณะทำงานและอาสาสมัครอย่างโหดเหี้ยม ทำให้มีคนบาดเจ็บอย่างน้อย 3 ราย รวมถึงมีการยึดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่นๆ

ถึงแม้จะไม่มีการจับกุมใครในตอนนั้นแต่ก็มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับประธานของสมาคมจัดงานศพฟรี U Kyaw Thu โดยอ้างกฎหมายอาญามาตรา 505 ว่าด้วยการยุยงปลุกปั่น ซึ่งถ้าหากถูกตัดสินว่ามีความผิดจะต้องโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี นอกจากนี้ยังมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับ Myint Myint Khin Pe คนที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การเงินให้กับสมาคมฯ หลังจากที่เธอแสดงการสนับสนุนขบวนการต่อต้านรัฐประหารและสัญญาว่าจะไม่ให้ความช่วยเหลือตำรวจและทหารในเรื่องการรักษาพยาบาลและการจัดงานศพ

สื่อรัฐบาลพม่ายังใส่ร้ายป้ายสีกล่าวหาว่า Myint Myint Khin Pe และ U Kyaw Thu ว่าใช้เงินบริจาคในทางที่ผิดด้วย ฝ่ายคนทำงานให้กับสมาคมจัดงานศพฟรีกล่าวว่าคนทำงานในตอนนี้พากันหลบหนีเพราะทหารกำลังตามล่าพวกเขา

การทารุณกรรมและทำร้ายร่างกายจากเจ้าหน้าที่ความมั่นคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อาสาสมัครบางส่วนต้องเผชิญ มีวิดีโอจากกล้องวงจรปิดเมื่อวันที่ 3 มี.ค. จับภาพของเจ้าหน้าที่รัฐบาลทุบตีทำร้ายอาสาสมัคร 4 คนอย่างทารุณหลังจากที่มีการจับกุมพวกเขา อาสาสมัครเหล่านี้ถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าก่อนจะถูกเตะที่ศีรษะแล้วทุบตีด้วยไม้กระบองและพานท้ายปืนที่ตำรวจเคยใช้มันยิงใส่กระจกรถพยาบาล พวกเขาทั้ง 4 รายได้รับบาดเจ็บและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำอินเส่งเป็นเวลาหลายสัปดาห์ก่อนจะถูกปล่อยตัวรวมถึงมีทีท่าว่าจะถูกตั้งข้อหามาตรา 505 อีกกรณี

ถึงแม้ว่ากลุ่มอาสาสมัครกลุ่มหลังสุดนี้จะยังคงกลับมาทำงานช่วยเหลือในแนวหน้า แต่ก็มีความกังวลว่าการปราบปรามของรัฐบาลจะทำให้คนอยากมาทำงานอาสาสมัครแบบนี้น้อยลงเรื่อยๆ เพราะทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองต้องเอาชีวิตมาเดิมพัน

บางกรณีเจ้าหน้าที่ทางการก็ก่อเหตุตั้งเป้าหมายกับอาสาสมัครที่กำลังปฏิบัติการแบบไม่เกี่ยวข้องกับการประท้วงด้วยซ้ำ เช่นในรัฐมอญ เมื่อวันที่ 2 เม.ย. มีกรณีที่ตำรวจและทหารลากตัวอาสาสมัคร 3 รายออกมาจากรถพยาบาลฉุกเฉินที่ถูกเรียกไปช่วยเหลืออุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ในช่วง 1 ทุ่ม ตำรวจทำการสอบปากคำและเหยียดหยามอาสาสมัครทั้ง 3 รายบนถนน แต่การลากตัวพวกเขาไปสอบสวนก็ทำให้พวกเขาไปช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายไม่ได้ เนื่องจากจะเกินเวลาเคอร์ฟิวในพม่าระหว่าง 2 ทุ่ม-ตี 4 ซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งกับเหตุทางด้านการแพทย์

การที่เจ้าหน้าที่ขัดขวางไม่ให้อาสาสมัครปฏิบัติหน้าที่ยังส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นด้วย เช่นในกรณีที่เกิดขึ้นกับเมืองพะโค การสังหารหมู่ในวันที่ 9 เม.ย. ทำให้ประชาชนเสียชีวิตมากกว่า 80 มีจำนวนมากที่เสียชีวิตจากการสูญเสียเลือดมากเกินไป ฝ่ายอาสาสมัครไม่สามารถเข้าถึงผู้บาดเจ็บได้เพราะมีการกระหน่ำยิงจากทหารอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้บาดเจ็บ "กองทับถมกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ" จากปากคำของอาสาสมัคร

สหประชาชาติออกแถลงการณ์ประณามการใช้กำลังของทหารทัตมะตอว์ในวันต่อมา โดยระบุถึงการที่ฝ่ายทหารใช้ปืนใหญ่ยิงใส่ประชาชนและมีการปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงการรักษาพยาบาล ซึ่งสหประชาชาติเรียกร้องให้ "เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอนุญาตให้ทีมแพทย์เข้าไปรักษาผู้บาดเจ็บได้"

ทั้งนี้ยังมีกรณีที่แพทย์อาสาสมัครถูกสังหารโดยเผด็จการทหารพม่า แพทย์อาสาฯ ที่ชื่อ U Thiha จากองค์กร Pyae Wa ถูกสังหารในพะโคขณะที่กำลังช่วยคนอื่นจัดงานศพในตอนนั้นพวกเจ้าหน้าที่ทหารก็เข้ามาเปิดฉากยิงพวกเขา

นอกจากนี้ U thiha ยังถูกทารุณกรรมก่อนที่จะเสียชีวิตด้วย โดยเพื่อนของเขาเล่าว่า ทหารยิง Thiha ในขณะที่เขากำลังพยายามปีนกำแพงหนี เมื่อเขาตกลงที่พื้นทหารก็เข้ามาทุบตีเขาอย่างผ่าเถื่อน จากนั้นก็จับเขามัดไว้ข้างหลังรถจักรยานยนต์แล้วลากไปตามถนนโรยกรวดที่ขรุขระ เขาร้องตะโกนจนกระทั่งสิ้นเสียงไป

Yamin Oo แม่ของ Thiha เล่าว่าเมื่อเธอเห็นศพลูกของตัวเอง หัวของเขาเต็มไปด้วยหลุมแผลและหน้าอกของเขาก็มีแผลเหวอะหวะ และใต้หัวเข่าของเขาลงไปไม่มีหนังหุ้มอยู่เลย เธอพูดด่าเผด็จการทหารว่า "ช่างไร้ความเป็นมนุษย์" ก่อนที่จะร้องไห้พร้อมกับพูดถึงชื่อลูกของตัวเอง

Ye Myint Win จากองค์กรสิทธิมนุษยชนฟอร์ติฟายไรท์สกล่าวว่าที่พวกเผด็จการทหารพม่าทำอะไรโหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้เพราะต้องการส่งสัญญาณขู่ผู้ประท้วง สร้างความหวาดกลัวให้ผู้ประท้วง ทำให้ผู้ประท้วงรู้สึกว่าจะไม่มีใครช่วยถ้าหากพวกเขาถูกยิงหรือบาดเจ็บ

Yamin Oo บอกว่าฐานอำนาจของเผด็จการทหารพม่า ตั้งอยู่บนความกลัว เธอพูดถึงลูกของเธอที่ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม บอกว่า "ตำรวจและทหารพวกนี้ไม่ใข่เจ้าหน้าที่รักษาความสงบที่จะคุ้มครองประชาชน พวกมันเป็นผู้ก่อการร้าย"


เรียบเรียงจาก
‘The military is hunting us’: volunteer medics in the crosshairs, Frontier Myanmar, 22-04-2021

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net