Skip to main content
sharethis

หวั่นแอบเข้าร่วม CPTPP หลังพบเอกสารหลุดประชุม ครม. ผู้ใช้ทวิตเตอร์ดัน #NoCPTPP ยอดทะลุล้านทวีต ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของไทยวันนี้ ด้าน ครม.ไฟเขียวยืดเวลาศึกษาอีก 50 วัน

5 พ.ค.2564 จากกรณีช่วงสายวันนี้กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน(FTA Watch) เผยแพร่เอกสารฉบับหนึ่งที่ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) เสนอเรื่องผลการดำเนินการเรื่อง CPTPP ต่อคณะรัฐมนตรี และเอกสารดังกล่าวระบุด้วยว่า "หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบหรืออนุมัติ"

FTA Watch ระบุว่า หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีสามารถลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อขอเจรจาเข้าร่วมได้เลย ซึ่ง FTA Watch มองว่าการเข้าร่วม CPTPP อาจนำมาสู่เรื่องที่น่ากังวลหลายเรื่อง และไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนไทย

"นี่ไม่ใช่แค่เพียงขยะ แต่คือยื่นโอกาสให้มีการปล้นทรัพยากรพันธุกรรม การผูกขาดเมล็ดพันธุ์ และการบ่อนทำลายระบบความมั่นคงทางยาและสุขภาพของไทย แลกกับผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆของคนบางกลุ่ม ช่วยกันส่งเสียงคัดค้าน #NoCPTPP ประเด็นอ่อนไหว พันธุ์พืชและยา ผลกระทบรุนแรง" FTA Watch โพสต์

ที่มา https://trends24.in/thailand/ บันทึกเมื่อเวลา 2.10 น. วันที่ 6 พ.ค.64

จากนั้นในทวิตเตอร์มีผู้ใช้แฮชเท็ก #NoCPTPP อภิปรายถึงประเด็นนี้ทั้งการให้ข้อมูลและการวิจารณ์ถึงปัญหาและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากเข้าร่วม ส่งผลให้ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของประเทศไทย ยอดเกินล้านทวีต

ภาพคำอธิบาย CPTPP  ของ เพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย - Bank of Thailand อธิบายไว้เมื่อวันที่ 17 ต.ค.61 ว่า เป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งในประเด็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ โดยมีประเทศสมาชิก 11 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม ความตกลง CPTPP ไม่ใช่การจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการปรับโฉมจากความตกลง TPP (Trans-Pacific Partnership) โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นสมาชิกด้วย แต่หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ถอนตัวออกไปเมื่อปี 2560 ประเทศสมาชิกที่เหลือก็ตัดสินใจเดินหน้าความตกลงต่อ โดยใช้ชื่อใหม่ว่า CPTPP ซึ่งแตกต่างจาก TPP ตรงที่มีขนาดเศรษฐกิจและการค้าเล็กลง และมีกฎเกณฑ์ที่ผ่อนคลายมากขึ้น

ทั้งนี้ โพสต์ทูเดย์ และบ้านเมือง รายงานว่า  รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่ นศ. ขอขยายระยะเวลาในการศึกษาการเข้าร่วมการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วม CPTPP ได้ส่งข้อเสนอมายังรัฐบาลออกไปอีก 50 วันจากเดิมที่สิ้นสุดกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้การขยายระยะเวลาในการศึกษาเนื่องจากคณะทำงาน 8 คณะที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นเพื่อศึกษาผลกระทบที่ประเทศไทยจะได้รับกรณีเข้าร่วม CPTPP ยังต้องการระยะเวลาในการศึกษารายละเอียดต่างๆให้ครอบคลุมรอบด้านในทุกประเด็นก่อนที่จะเสนอข้อมูลให้ครม.และนายกรัฐมนตรีรับทราบ

รัชดา กล่าวว่า ในขณะนี้ยังเป็นขั้นตอนที่ประเทศไทยอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลและผลกระทบเพื่อตัดสินใจว่าเราจะเข้าไปเจรจาเป็นสมาชิก CPTPP หรือไม่ ยังไม่ได้มีการตัดสินใจหรือมอบอำนาจให้นายกรัฐมนตรีไปเจรจาตามขั้นตอนหรือไม่ โดยข้อเสนอของคณะกรรมการวิสามัญของสภาฯที่เสนอมายังรัฐบาล หน่วยงานต่างๆที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ในคณะทำงานทั้ง 8 คณะก็ได้กลับไปทำงานโดยละเอียด แล้วภายหลังจากที่สิ้นสุดระยะเวลาที่ครม.ขยายให้ 50 วันก็จะมีการรายงานให้ ครม.และนายกรัฐมนตรีรับทราบเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในการเข้าร่วมเจรจาในข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร

“ขณะนี้ยังไม่ได้มีการตัดสินใจหรือมอบหมายอำนาจให้นายกฯไปเจรจาในเรื่องซีพีทีพีพีแต่อย่างไร แต่หากข้อเสนอมีทิศทางให้ไปเจรจา ก็ต้องมีการกำหนดท่าที และข้อสงวนในการเจรจาที่จะเกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนคนไทย เกษตรกรไทย ซึ่งรัฐบาลจะต้องพิจารณาเรื่องเหล่านี้โดยรอบครอบและคำนึงถึงเรืองนี้มากที่สุด” รัชดากล่าว

สำหรับข้อเสนอของกรรมาธิการวิสามัญ ที่ประเด็นสำคัญในการเข้าร่วม CPTPP ของไทยจะต้องเตรียมความพร้อม 4 ประเด็น ได้แก่
          
1. การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าโดยไทยมีกลไกเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอยู่บ้างแล้วผ่านกลไกของกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์ แต่ยังไม่ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบในทุกกลุ่ม และยังขาดความต่อเนื่อง ขณะที่กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศอยู่ระหว่างการจัดตั้งกองทุน FTA ที่มีความต่อเนื่อง คล่องตัว และการจัดการข้อมูลที่ดีเพื่อรวบรวมข้อมูลผู้ที่ได้รับผลกระทบ และติดตามผลการช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยพัฒนาศักยภาพและยกระดับการแข่งขันได้จริง
          
2. ความมั่นคงทางภาคเกษตรของไทยโดยกรรมาธิการฯระบุว่าความตกลง CPTPP มีข้อบทที่กำหนดให้ภาคีความตกลงต้องเข้าร่วมเป็นสมาชิกอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (UPOV1991) ทำให้เกษตรกรรายย่อยได้รับผลกระทบ หรืออาจมีการแสวงหาประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของไทย ซึ่งจะต้องมีการยกระดับกฎหมายด้านการคุ้มครองพันธุ์พืชและความหลากหลายทางชีวภาพของไทย
          
โดยรัฐบาลได้รายงานว่าได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพรบ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 ให้มีผลใกล้เคียงกับ UPOV1991 รวมทั้งออกกฎหมายคุ้มครองการเก็บเมล็ดพันธุ์พืชใหม่ที่ได้รับการคุ้มครองไว้ปลูกต่อได้ และจัดทำกฎหมายว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของไทยซึ่งมีกลไกเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรชีวภาพรวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ รวมทั้งเร่งสนับสนุนให้มีการปรับปรุงพันธุ์และผลิตเมล็ดพันธุ์ต่างๆเพื่อสนับสนุนการเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ในภูมิภาค
          
3. ความมั่นคงทางระบบสาธารณสุขในประเด็นนี้กรรมาธิการฯมีความเป็นห่วงว่าความตกลง CPTPP มีข้อกำหนดให้เปิดการนำเข้าสินค้าประเภท“remanufactured goods”ซึ่งอาจส่งผลให้มีการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานน้อยกว่าเครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ และการกำหนดไม่ให้รัฐวิสาหกิจที่มีพันธกิจในทางการแพทย์มีข้อได้เปรียบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ขององค์การเภสัชกรรมที่กำหนดให้หน่วยงานรัฐต้องจัดซื้อยาจากองค์การเภสัชฯเป็นลำดับแรก 30% ของงบประมาณโดยรัฐบาลชี้แจงว่าเรื่องนี้หากเปิดให้มีการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ดังกล่าวจะต้องกำหนดนิยามและพิกัดศุลกากรเครื่องมือแพทย์ดังกล่าวให้ชัดเจน และการปรับแก้ปฎหมายที่เกี่ยวข้อง และองค์การอาหารและยา (อย.) ซึ่งจำเป็นที่จะต้องขอสงวนในส่วนนี้และขอระยะเวลาเปลี่ยนผ่านเพื่อปรับตัว
          
4. มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตการค้าเสรี (Free Zone)และการกำกับดูแลมาตรฐานสินค้านำเข้า ในปัจจุบันมีข้อกำหนดว่าผู้ผลิตที่มีกระบวนการผลิตใน Free Zone และใช้วัตถุกิบภายในประเทศหรืออาเซียนไม่น้อยกว่า 40% ไทยจึงจำเป็นต้องปรับแก้ไขกฎหมายในเรื่องนี้โดยจะต้องศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และหารือแนวทางดำเนินการที่จำเป็นกับผู้ประกอบการใน Free Zoneส่วนเรื่องมาตรฐานสินค้าเพิ่มเติมต้องศึกษาให้รอบครอบรวมทั้งต้องระวังการฟ้องร้องจากประเทศผู้นำเข้าสินค้าด้วย 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net