Skip to main content
sharethis

กลุ่ม LGBTQ+ ที่มองผลงานของรัฐบาล โจ ไบเดน ในช่วง 100 วันแรกว่าเป็นการแก้ไขปัญหาความเสียหายที่รัฐบาลทรัมป์เคยก่อไว้ และถึงแม้ไบเดนจะพูดถึงเรื่องความหลากหลายทางเพศไว้ดีมากและมีการแต่งตั้งชาว LGBTQ+ ในตำแหน่งหลายคน แต่ก็ควรจะมีการคุ้มครองคนข้ามเพศจากการถูกกีดกันเลือกปฏิบัติที่ดีกว่านี้ โดยเฉพาะจากกฎหมายของระดับรัฐย่อย ๆ แต่ละรัฐเอง

ความคิดเห็นของกลุ่ม LGBTQ+ ต่อนโยบายของรัฐบาล 'ไบเดน' ช่วง 100 วันแรก

ฟินน์ คูเปอร์ เป็นอาสาสมัครในท้องถิ่นให้กับพรรคเดโมแครตในมิชิแกน ที่เป็นรัฐสวิงสเตท มีโอกาสที่พรรครีพับลิกันหรือเดโมแครตจะชนะได้ใกล้ๆ กัน คูเปอร์เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ใช้สรรพนามเรียกตัวเองแบบกลางทางเพศ เขาบอกว่า โจ ไบเดน ผู้แทนพรรคเดโมแครตดูจะเป็นผู้แทนที่ดีกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ มาก โดยเฉพาะในนโยบายเรื่องสิทธิผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ+ ซึ่งเป็นนโยบายที่เธอให้การสนับสนุน

อย่างไรก็ตามคูเปอร์ก็มองว่าขณะที่ไบเดนทำได้ดีในระดับการบริหาร แต่ในระดับนิติบัญญัติและการทำงานร่วมกับสภาคองเกรสนั้น คูเปอร์มองว่าไบเดนยังทำได้ไม่มากพอ

สำหรับความคิดเห็นโดยทั่วไปของชาว LGBTQ+ พวกเขามองว่าการปฏิบัติงาน 100 วันแรกของรัฐบาลไบเดนนั้นประสบความสำเร็จในหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน LGBTQ+ โดยที่ส่วนใหญ่ผ่านทางคำสั่งบริหารพิเศษ จากการสำรวจขององค์กรด้านความหลากหลายทางเพศ GLAAD ระบุว่า จากกลุ่มตัวอย่าง LGBTQ+ 800 ราย มีร้อยละ 78 ที่มองว่าไบเดนทำได้ดีในฐานะประธานาธิบดี แต่บางคน ก็คิดแบบคูเปอร์คือคิดว่ารัฐบาลไบเดนควรจะทำอะไรมากกว่านี้

ถึงแม้ว่าคำสั่งบริหารพิเศษจากไบเดนจะเป็นไปในทางคุ้มครองชาว LGBTQ+ แต่คูเปอร์ก็พูดถึงเรื่องที่หลายรัฐในสหรัฐฯ ยังคงพิจารณาออกร่างกฎหมายในเชิงต่อต้านความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะกฎหมายที่มุ่งโจมตีเยาวชนที่เป็นคนข้ามเพศหรือทรานส์เจนเดอร์ นั่นทำให้คูเปอร์อยากให้รัฐบาลไบเดนผลักดันร่างกฎหมายความเท่าเทียมผ่านทางวุฒิสภาเพื่อให้ชาว LGBTQ+ ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายจากการถูกกีดกันเลือกปฏิบัติ

"ถึงแม้ว่ามันจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะอยู่ในขั้นที่เรียกว่าดีแล้ว" คูเปอร์กล่าว เขาบอกอีกว่าถึงแม้กฎหมายแย่ๆ ที่ต่อต้าน LGBTQ+ นั้นจะมาในระดับรัฐย่อยๆ ไม่ได้มาจากรัฐบาลกลาง แต่เขาก็อยากให้ไบเดนในฐานะประธานาธิบดีออกมาพูดแสดงตัวต่อต้านมากกว่านี้

กลุ่ม LGBTQ+ อื่นๆ ยังพูดถึงในเรื่องที่ว่ารัฐบาลทรัมป์เคยสร้างความเสียหายเอาไว้มากขนาดไหนต่อเรื่องความหลากหลายทางเพศทำให้รัฐบาลใหม่ต้องใช้เวลามาตามล้างตามเช็ด ผู้ที่กล่าวไว้เช่นนี้คือ ชารอน แมคโกวาน หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์และผู้อำนวยการด้านกฎหมายจากองค์กรแลมบ์ดาลีกัล องค์กรด้านกฎหมายเพื่อชาว LGBTQ+

เธอชื่นชมรัฐบาลไบเดนว่ามี "แสดงให้เห็นพันธกิจต่อความเท่าเทียมสำหรับ LGBTQ" จากตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งด้วยการยกเลิกนโยบายกีดกันเลือกปฏิบัติต่อชาว LGBTQ+ เช่นการออกคำสั่งบริหารพิเศษในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งให้มีการยอมรับคำตัดสินของศาลสูงสุดในคดีเมื่อปี 2563 ที่ทำให้ชาว LGBTQ+ จะได้รับการคุ้มครองไม่ให้ถูกดีกันเลือกปฏิบัติในเรื่องการจ้างงาน ตามหลักการของ ลักษณะ 7 ในกฎหมายสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ (Title VII of the Civil Rights Act)

คำสั่งบริหารพิเศษของไบเดนส่งผลเป็นลูกคลื่นต่อเนื่องไปยังจุดอื่นๆ ในสหรัฐฯ เพราะมันเป็นการกำหนดให้หน่วยงานรัฐบาลกลาต้องคุ้มครองไม่ให้เกิดการกีดกันเลือกปฏิบัติบนบานของเพศสภาพหรือเพศวิถี ทำให้กรมการเคหะและการพัฒนาเมืองประกาศในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาว่า LGBTQ+ จะได้รับการคุ้มครองจากการกีดกันเลือกปฏิบัติภายใต้กฎหมายการเช่าที่พักอาศัยที่เป็นธรรมด้วย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ ที่มีการคุ้มครอง LGBTQ+ ในเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังขยายผลไปถึงในเรื่องบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการศึกษาที่จะไม่เลือกปฏิบัติต่อ LGBTQ+ ด้วย

นอกจากนี้แล้วนับตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งไบเดนยังสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามของทรัมป์ที่ห้ามคนข้ามเพศสมัครเข้าเป็นทหาร รวมถึงถอนคำสั่งบริหารพิเศษของทรัมป์ที่กีดกันผู้อพยพ-ลี้ภัย ซึ่งมีความสำคัญต่อคนที่ลี้ภัยมาเพราะถูกปราบปรามในฐานะที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ

นอกจากเรื่องคำสั่งบริหารแล้วรัฐบาลไบเดนยังมีการจ้างวานคนที่มีความเข้าใจในเรื่องสภาวะท้บซ้อนทางอัตลักษณ์และความแตกต่างหลากหลายของชุมชนคนผิวสีและกลุ่ม LGBTQ+ ด้วย เรื่องนี้ วิกเตอเรีย เคอร์บี ยอร์ก รองผู้อำนวยการบริหารของ กลุ่มแนวร่วมเนขันแนลแบล็กจัสติส บอกว่าการคำนึงถึงสภาวะทับซ้อนทางอัตลักษณ์เหล่านี้มีความสำคัญในฐานะที่เธอเป็นหญิงคนดำ เพราะเรื่องราวของการถูกกีดกันเลือกปฏิบัติของเธอมีรูปแบบเฉพาะที่ต่างออกไปจากผู้หญิงเชื้อชาติสีผิวอื่น และคนดำเพศอื่น การมีตัวแทนที่หลากหลายจึงเป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินนโยบายแบบที่คำนึงถึงผู้คนได้ทั่วถึง

มีการตั้งข้อสังเกตอีกว่ารัฐบาลไบเดนมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่เป็น LGBTQ+ หลายคน โดยเฉพาะ ราเชล เลอวีน ผู้ช่วยรัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลทีเป็นคนข้ามเพศอย่างเปิดเผยคนแรก นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้ ชอว์น สเกลลี ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกระทรวงกลาโหมเพื่อการเตรียมความพร้อม ซึ่งถ้าหากวุฒิสภายอมรับในเรื่องนี้ก็จะทำให้สเกลลีเป็นคนข้ามเพศคนแรกที่ได้รับตำแหน่งระดับสูงในกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

มารา คีสลิง ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์แห่งชาติเพื่อความเท่าเทียมสำหรับคนข้ามเพศกล่าวชื่นชมว่าไบเดนเป็นประธานาธิบดีที่ "มีความจริงจังมากในการทำให้รัฐบาลของเขาดูเหมือนอเมริกา" จากการที่เขาสานต่อจากรัฐบาลโอบาม่าและแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจและจริงจังในเรื่องเหล่านี้

อย่างไรก็ตามีอยู่บางเรื่องที่กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศก็ยังคงรอคอยจากรัฐบาลไบเดน นั่นคือเรื่องการลงนามในร่างกฎหมายความเท่าเทียมที่จะคุ้มครองชาว LGBTQ+ จากการถูกเลือกปฏิบัติ แต่ก็มีอุปสรรคในชั้นวุฒิสภาหลังจากที่กฎหมายผ่านร่างในระดับรัฐสภามาแล้วเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เพราะพวกเขาต้องอาศัยเสียงข้างมากในระดับ 60 เสียงเพื่อยุติการอภิปรายและเข้าสู่การโหวต ซึ่งไบเดนเองก็พยายามเรียกร้องผลักดันขอให้วุฒิสภาผ่านร่างกฎหมายนี้

โดยที่กฎหมายความเท่าเทียมนี้เป็นสิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนชาวอเมริกันจำนวนมาก จากการสำรวจโพลระบุว่ามีชาวอเมริกันสนับสนุนถึง 3 ใน 4 ของทั้งหมด

เรื่องนี้ทำให้แมคโกวานมองว่าความเท่าเทียมไม่ถูกเลือกปฏิบัติของ LGBTQ+ นี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ ที่มีคนสนใจจำนวนไม่กี่คน แต่เป็นบทพิสูจน์ความเป็นผู้นำของไบเดนที่นับเป็นสายใยถักทอหลักการทางศีลธรรมของประเทศอเมริกัน

นอกจากกฎหมายนี้แล้ว ชาว LGBTQ+ ยังอยากให้ไบเดนทำตามสัญญาในการสนับสนุนให้ทั้งระดับรัฐย่อยๆ และระดับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีการอนุญาตให้นอนไบนารี หรือผู้ไม่อยู่ในระบบสองเพศหญิงชาย ให้สามารถระบุอัตลักษณ์ทางเพศในบัตรประจำตัวเป็น X ได้ รวมถึงในหนังสือเดินทางด้วย

อีกประเด็นหนึ่งที่ผู้คนอยากให้รัฐบาลไบเดนทำคือการจัดให้มีการศึกษาวิจัยมากขึ้นในเรื่องความรุนแรงต่อคนข้ามเพศเพื่อให้มีการฟ้องกันเหตุเหล่านี้ หนึ่งในผู้ที่เสนอในเรื่องนี้คือเคอร์บี ยอร์กจากองค์กรเพื่อความเป็นธรรมสำหรับคนดำ จากที่มีสถิติการสังหารคนข้ามเพศเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมีจำนวนมากที่เป็นหญิงข้ามเพศที่เป็นคนดำ

เคอร์บี ยอร์ก บอกว่าถึงแม้คนทำงานในรัฐบาลจะพูดถึงเรื่องนี้รวมถึงไบเดนหรือรองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส เอง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจในเรื่องความรุนแรงต่อคนข้ามเพศเช่นนี้ จากที่ก่อนหน้านี้ไบเดนใช้เรื่องการต่อต้านความรุนแรงต่อคนข้ามเพศเป็นหนึ่งในประเด็นการหาเสียงหลักๆ และวิจารณ์รัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าเป็นรัฐบาลทีลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนข้ามเพศด้วยทั้งการกระทำและวาจา

มีคนทำงานเรื่องความหลากหลายทางเพศบางส่วนมองว่าการที่ความรุนแรงต่อคนข้ามเพศเพิ่มมากขึ้นในสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเพราะการออกร่างกฎหมายที่ "โจมตี" คนข้ามเพศในระดับรัฐต่างๆ ในปี 2564 นี้เองมีการเสนอร่างกฎหมายต่อต้านคนข้ามเพศอย่างน้อย 144 ฉบับแล้ว และมีอย่างน้อย 9 ฉบับที่มีการผ่านร่างกฎหมาย ทำให้ อัลฟองโซ ดาวิด ประธานองค์กรฮิวแมนไรท์แคมเปญแถลงว่า 2564 นับเป็นปีที่มีออกกฎหมายโจมตีชาว LGBTQ จากระดับรัฐรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

มีรัฐที่ทำการสั่งห้ามไม่ให้นักกีฬาคนข้ามเพศลงแข่งขันตามอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองในทีมกีฬาของโรงเรียน คือรัฐ อาร์แคนซอ, มิสซิสซิปปี, เทนเนสซี, แอละแบมา, เวสต์เวอร์จิเนีย, เซาธ์ดาโกตา และไอดาโฮ ในรัฐอาร์แคนซอยังกลายเป็นรัฐแรกที่มีการสั่งแบนไม่ให้เยาวชนที่เป็นคนข้ามเพศสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ด้านการแปลงสำหรับพวกเขาด้วย

เรื่องเหล่านี้ทำให้นักกิจกรรมกลุ่มคนข้ามเพศมองว่า การที่ไบเดนเดินสายพูดเรื่องการสนับสนุน LGBTQ+ ตามที่ต่างๆ ยังไม่เพียงพอ เพราะมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงเรื่องกฎหมายที่กดขี่ข่มเหงพวกเขา เช่น กรณีของ ไค แชปปลีย์ เด็กหญิงข้ามเพศอายุ 10 ปี ที่ต่อต้านร่างกฎหมายใหม่ของเท็กซัสที่จะทำให้หมอหรือพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กต้องโทษระดับคดีอาญาถ้าหากพวกเขาให้ความช่วยเหลือเด็กในการข้ามเพศเช่นให้ฮอร์โมนตามที่เด็กต้องการ

แชปปลีย์บอกว่าเธอขอบคุณไบเดนมากที่ช่วยเป็นปากเสียงให้กับชาว LGBTQ+ "แต่มันที่บอกว่าขะหนุนหลังพวกเราหมายความว่าอย่างไรหรือ? เช่นว่าถ้ากฎหมายในเท็กซัสผ่านร่างไปแล้ว พวกคุณจะช่วยไม่ให้แม่เราต้องเข้าคุกได้งั้นหรือ?"

แมคโกวานผู้ที่ชื่นชมไบเดนก็เสนอในทำนองเดียวกันว่า เธออยากให้รัฐบาลไบเดนทำอะไรให้ดีกว่านี้อีกเพื่อส่งเสริมสิทธิพลเมืองและส่งเสริมความเท่าเทียมสำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศโดยที่เธอก็มองว่ามีสิ่งที่ทำให้มีความหวังอยู่บ้างเมื่อไบเดนเลือกตัวอัยการด้านสิทธิพลเมือง วานิตา กุปตา เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม


เรียบเรียงจาก
Undoing 4 years of 'damage': LGBTQ advocates on Biden's first 100 days, NBC, 02-05-2021

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net