NUG โทษตนเองปกป้องมินดัตไม่ได้-ดีอีเอส ปัดประยุทธ์แอบคุยกับมินอ่องหล่าย

NUG แถลงแสดงความเสียใจต่อความไร้ความสามารถที่จะปกป้องชาวเมืองมินดัต รัฐชิน หลังสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดการปะทะอย่างรุนแรงระหว่างกองทัพพม่า และกองกำลังต่อต้านรัฐประหาร ด้าน รมว.ดีอีเอสของไทย ปัดประยุทธ์ แอบเจรจาหลังบ้านกับ ‘มินอ่องหล่าย’ อ้างผู้ให้ข้อมูลเป็นอดีต กต.กลุ่มอำนาจเก่า ที่อาจต้องการดิสเครดิตรัฐบาล

มานวินข่ายตาน นายกรัฐมนตรี รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) จากแฟ้มภาพเมื่อวันที่ 15 มี.ค.64

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 12-15 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่เมืองมินดัต มีการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างกองกำลังพิทักษ์ประชาชนแห่งมินดัต กับกองทัพพม่า เป็นผลให้กองทัพพม่าประกาศกฎอัยการศึกที่เมืองแห่งนี้ในวันที่ 13 พ.ค. ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะแลกกระสุนไปอีกสามวัน และในช่วงบ่ายวันที่ 15 พ.ค.นี่เอง กองทัพพม่าก็สามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองมินดัตได้

18 พ.ค.64 สำนักข่าวอิระวดี รายงานเมื่อวันที่ 17 พ.ค.64 เพิ่มเติมว่ามีผู้เสียชีวิตจากการปะทะครั้งนี้ เป็นพลเรือนอย่างต่ำ 8 ราย และทหารกองทัพพม่าอย่างต่ำ 10 ราย 

เหตุดังกล่าว ทำให้ มานวินข่ายตัน นายกรัฐมนตรี แห่งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลคู่ขนาน ซึ่งเป็นการรวมตัวของ ส.ส.จากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ส.ส.พรรคการเมืองชาติพันธุ์ และนักกิจกรรมการเมือง กล่าวผ่านสื่อออนไลน์เมื่อวันที่ 17 พ.ค.64 แสดงความเสียใจที่ตนไร้ความสามารถที่จะปกป้องเมืองมินดัต อย่างไรก็ตาม NUG กำลังทำงานร่วมกับทีมกู้ภัย และองค์กรนานาชาติ เพื่อเข้าช่วยเหลือประชากรในเมืองแล้ว

นอกจากนี้ นายกฯ รัฐบาลคู่ขนาน กล่าวเพิ่มว่า ย้อนไปเมื่อวันเสาร์ที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ยังมีเหตุปะทะในเมืองมินดัตอยู่ กองกำลังและทหารฝั่งเผด็จการจับกุมชาวบ้านในเมือง เพื่อใช้เป็นโล่ห์มนุษย์กันกระสุน และกดดันให้กองกำลังความมั่นคงของประชาชนยอมล่าถอยกลับไป  

“พวกเราตระหนกอย่างมาก หลังจากได้ยินว่าทหารและกองกำลังเผด็จการพม่าใช้ปืนใหญ่และเฮลิคอปเตอร์โจมตีประชาชนของเมืองมินดัต และมีการจับตัวชาวบ้านมาเป็นโล่ห์มนุษย์”

“เราเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องประชาชนในเมืองได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เราขอยกย่องแก่ผู้ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับกองกำลัง และความโหดร้ายของพวกเผด็จการ และเสียสละชีวิตของพวกเขา ในเวลาเดียวกัน เราไม่ได้นิ่งดูดาย และเฝ้ามองความเจ็บปวดของประชาชน โดยเรากำลังประสานไปที่องค์กรสากล และรัฐบาลต่างๆ เพื่อขอการสนับสนุนและจัดการนำความช่วยเหลือมาให้” มานวินข่ายตาน กล่าว 

รายงานจากสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง หรือ AAPP ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาชนที่ติดตามการจับกุมนักโทษการเมือง และผู้เสียชีวิตจากเหตุสลายชุมนุม นับตั้งแต่รัฐประหาร 1 ก.พ.64 จนถึงวันที่ 17 พ.ค. ระบุว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตอย่างต่ำ 802 ราย และมีผู้ถูกจับกุม 5,210 ราย และในจำนวนนี้มีผู้ถูกตัดสินโทษจำคุก 4,120 ราย  

ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการปะทะในเมืองมินดัต

ย้อนไปเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา เคยเกิดการปะทะระหว่างกองกำลังภาคประชาชน และกองทัพพม่ามาแล้วครั้งหนึ่ง ชนวนเหตุการณ์มาจากกองทัพพม่าจับผู้ต่อต้านรัฐประหาร จนทำให้ประชาชนลุกฮือประท้วง เพื่อเรียกร้องกองทัพให้ปล่อยผู้ถูกจับกุม แต่ขณะที่กำลังมีการชุมนุม เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่งคงกลับใช้กระสุนจริงยิงไปที่ผู้ประท้วง จนทำให้ประชาชนโกรธแค้น และต้องการเอาคืน

สถานการณ์รุนแรงขึ้นจนกลายเป็นการสู้รบสี่วันติด ทั้งนี้ สำนักข่าว Myanmar Now อ้างว่า ผลจากการปะทะดังกล่าว มีทหารพม่าอย่างน้อย 30 คนเสียชีวิต แต่ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บทางฝั่งพลเรือน   

ความเสียหายทางฝั่งกองทัพพม่านำมาสู่การเจรจาข้อตกลงหยุดยิงในเวลาต่อมา โดยกองทัพพม่าตกลงที่จะปล่อยผู้ประท้วงเยาวชนออกมา 7 คน ขณะที่ชาวบ้านเรียกร้องให้ปล่อยพลเรือนที่ถูกทางการจับกุมเพิ่มอีก 5 คน โดยให้เวลากองทัพพม่าตัดสินใจจนถึงวันที่ 12 พ.ค.64 แต่ดูเหมือนกองทัพพม่าจะเมินเฉยต่อข้อเรียกร้อง จนกลายเป็นการสู้รบกันอย่างที่กล่าวไปข้างต้น

รมว.ดีอีเอส ปัดนายกฯ คุยหลังบ้านกับกองทัพพม่า ชี้แหล่งข้อมูลเป็นอดีต กต. ที่ต้องการดิสเครดิต รบ.

สืบเนื่องจากกรณีสำนักข่าวญี่ปุ่น นิเคอิ เอเชีย ลงบทวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-พม่า โดยเปิดเผยว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย กับ พลเอกอาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพพม่า และหัวหน้าคณะรัฐประหาร มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด และตั้งแต่กองทัพพม่าทำรัฐประหารเป็นต้นมา ทั้งสองก็สื่อสารทางการทูตหลังบ้านมาโดยตลอด 

18 พ.ค.64 สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ และไทยรัฐ รายงานเมื่อวันที่ 16 พ.ค.64 ระบุว่า ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ออกมาโต้ข่าวดังกล่าว โดยเปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti fake news center) ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า ข้อมูลที่สื่อญี่ปุ่น นิเคอิ เอเชีย นำเสนอมีความคลาดเคลื่อน สร้างความสันสนให้กับผู้รับข่าวสารอย่างมาก พร้อมทั้งกังวลว่าเรื่องนี้จะบานปลาย และอาจส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลายมิติ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์ในประเทศเมียนมา ประยุทธ์ไม่เคยติดต่อกับมินอ่องหล่าย ตามช่องทางตามที่สำนักข่าวดังกล่าวนำเสนอ และไม่มีบุคคลระดับสูงที่ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปบอกกับทางสำนักข่าวต่างชาติ

ชัยวุฒิ กล่าวต่อว่า นายกฯ ไม่มีความจำเป็นจะต้องติดต่อกันในทางลับตามที่สำนักข่าวญี่ปุ่นนำเสนอ ซึ่งอ้างอิงบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวว่าเป็นคนให้ข้อมูล ไม่เปิดเผยหรือระบุตัวตนให้ชัดเจน ดังนั้น การนำเสนอเรื่องที่ละเอียดอ่อนควรระมัดระวังและรับผิดชอบให้มากกว่านี้ เพราะอาจเกิดผลกระทบในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้

นายชัยวุฒิ ระบุว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นยังพบว่า แหล่งข่าวที่สำนักข่าวญี่ปุ่นอ้างอิงนั้น เป็นอดีตข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เป็นคนของกลุ่มอำนาจเก่า และมีจุดยืนอยู่ตรงข้ามรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งทางสื่อญี่ปุ่นอ้างว่าเป็นแหล่งข่าวระดับสูงในสำนักนายกรัฐมนตรีปัจจุบันนั้น ไม่เป็นความจริง 

“จึงต้องถามว่า การปล่อยข่าวและการเสนอข่าวเช่นนี้มีวัตถุประสงค์ใด เป็นความพยายามดิสเครดิตรัฐบาลไทย และ พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่” ชัยวุฒิ ตั้งข้อสังเกต

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท