Skip to main content
sharethis

21 พ.ค. 2564 ศบค. แถลงพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียในที่พักคนงานก่อสร้าง เขตหลักสี่ จำนวน 15 คน อธิบดีกรมควบคุมโรคเผยทั้ง 15 คน รักษาตัวในโรงพยาบาล อาการยังไม่รุนแรง ยังไม่พบข้อมูลการดื้อต่อวัคซีน โดยเฉพาะแอสตราเซเนกาสามารถป้องกันสายพันธุ์อังกฤษและอินเดียได้

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวระหว่างการแถลงสถานการณ์โควิด-19 ประจำวันที่ 21 พ.ค. 2564 ว่า ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบผู้ป่วยหนาแน่นที่ที่พักคนก่อสร้างเขตหลักสี่ เขตดอนเมือง เขตคลองเตย, ชุมชนแออัดเขตคลองเตย, ชุมชนแออัดตลาดห้วยขวาง เขตดินแดง, ชุมชนตลาดพลอยบางรัก เขตบางรัก, และชุมชนแออัดตลาดบางกะปิ เขตบางกะปิ โดยในที่พักคนงานก่อสร้างเขตหลักสี่ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย 15 ราย ทั้งหมดอยู่ในโรงพยาบาล และมีทีมสอบสวนโรคลงไปทำงานเพื่อควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ โดยนพ. ทวีศิลป์ ยอมรับว่า โควิด-19 สายพันธุ์อินเดียทำให้เกิดการระบาดได้จำนวนมากตามที่มีรายงานในหลายประเทศ และมีรายงานว่าเข้ามาในประเทศไทยแล้ว

ต่อมา สื่อหลายสำนักรายงานเพิ่มเติมว่า เวลาประมาณ 15.00 น. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ชี้แจงเพิ่มเติมกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อินเดีย (B.1.617.2) 15 ราย ในคลัสเตอร์ที่พักคนงานก่อสร้างที่เขตหลักสี่ หลังการแถลงของ ศบค. ว่า โควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงเชื้อ หรือการกลายพันธุ์ตลอดเวลาจากสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบจากอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยสายพันธุ์ที่ให้ความสนใจประกอบด้วย 1. กลายพันธุ์แล้วแพร่ระบาดง่ายขึ้น 2. ทำให้ความรุนแรงของโรคมากขึ้น เสียชีวิตมากขึ้น 3. ทำให้การใช้วัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ หรือป้องกันโรคได้ไม่ดี

อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวต่อว่า สายพันธุ์ที่ทั่วโลกกำลังจับตา ประกอบด้วย สายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์อินเดีย สายพันธุ์บราซิล สายพันธุ์แอฟริกาใต้ และทั้ง 4 สายพันธุ์นี้ กระทรวงสาธารณสุขของไทยร่วมกับมหาวิทยาลัย ห้องปฏิบัติการต่างๆ ถอดรหัสพันธุกรรม รวบรวมข้อมูล รวมถึงใช้หลักระบาดวิทยาในการอ้างอิง สายพันธุ์ที่ระบาดในขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อังกฤษ ที่แพร่กระจายเชื้อได้รวดเร็วมากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม ขณะที่สายพันธุ์อินเดียมีการค้นพบในหลายประเทศ ทั้งอังกฤษ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ส่วนเมียนมาและกัมพูชา ยังมีข้อมูลการถอดรหัสพันธุกรรมค่อนข้างจำกัด แต่เชื่อได้ว่าอาจจะมีสายพันธุ์อินเดียอยู่เช่นกัน เพราะฉะนั้น ไทยก็มีโอกาสที่จะมีสายพันธุ์อินเดียหลุดรอดเข้ามาและแพร่ในประเทศได้ โดยจะมีการจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ จากการที่กระทรวงสาธารณสุข ร่วมทำงานกับมหาวิทยาลัยต่างๆ พบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แคมป์ก่อสร้างหลักสี่ จากนั้นนำ 61 ตัวอย่าง ไปตรวจหาสายพันธุ์ พบว่าตรงกับสายพันธุ์อินเดีย 15 คน เป็นเพศชาย 7 คน และเพศหญิง 8 คน อายุเฉลี่ย 46 ปี ส่วนใหญ่อาการน้อยและยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล

“ในจำนวน 15 ตัวอย่าง พบว่าเป็นคนงานที่อยู่ในแคมป์ก่อสร้าง 12 คน ส่วนอีก 3 คน เป็นผู้สัมผัสโรคร่วมบ้านกับคนในแคมป์คนงาน จะต้องมีการดำเนินการสอบสวนควบคุมโรคและเร่งรัดติดตามทั้ง 15 คน ว่าอาการเป็นอย่างไร เบื้องต้นได้รับรายงานว่าอาการเล็กน้อย ไม่รุนแรง และจะมีการติดตามผู้สัมผัสเพื่อตรวจสอบข้อมูลอย่างเข้มข้นต่อไป”

นพ.โอภาส ระบุเพิ่มเติมโดยอ้างอิงข้อมูลจากประเทศอังกฤษ (Public Health England) ในเรื่องสายพันธุ์อินเดีย ว่า 1. การแพร่กระจายโรคไม่ต่างจากสายอังกฤษ 2. ความรุนแรงของโรค ยังไม่มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าสายพันธุ์อินเดียมีอาการรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์อังกฤษ และ 3. การไม่ตอบสนองต่อวัคซีน (ดื้อต่อวัคซีน) พบว่า สายพันธุ์อินเดียยังไม่ดื้อต่อวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนหลักที่กำลังจะใช้คือ แอสตราเซเนกา ยังสามารถป้องกันสายพันธุ์อินเดียและสายพันธุ์อังกฤษได้ พร้อมยกตัวอย่างว่า ประเทศอังกฤษใช้วัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นหลัก ปรากฏว่าการระบาดลดน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมโรคในเขตกรุงเทพฯ กำลังติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด รวมถึงจัดทีมสนับสนุนการติดตามผู้สัมผัส การค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก และการสนับสนุนการรักษาพยาบาลในจุดต่างๆ โดยพร้อมจะรายงานข้อมูลต่อประชาชนเป็นระยะต่อไป

ไทยพีบีเอสยังรายงานเพิ่มด้วยว่า ผู้สื่อข่าวถามถึงที่มาของสายพันธุ์อินเดียที่พบในครั้งนี้ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน พบสายพันธุ์นี้ในสถานกักกันโรค เป็นหญิงไทยที่เดินทางมาจากประเทศปากีสถาน และข้อมูลในประเทศมาเลเซีย ก็ค้นพบสายพันธุ์นี้มานานแล้ว แต่ที่ประเทศเมียนมา ไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดในการถอดรหัสพันธุกรรม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net